Recent Posts

พระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตา (๑-๓)


พระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตา 

(๑) กำหนดป่า - แผ่นดิน 

          บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

          ปัญญาในธรรมนั้น เป็นความรู้ในสัจจะคือความจริง ซึ่งมีอยู่เป็นไปอยู่ในตน รวมเข้าก็ในสัจจะทั้ง ๔ คือ ในทุกข์ ในสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ ในนิโรธความดับทุกข์ และในมรรคทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ล้วนเป็นสัจจะคือความจริงที่มีอยู่ในตน ทุกข์ก็มีอยู่ในตน สมุทัยก็มีอยู่ นิโรธและมรรคก็มีอยู่ เมื่อปฏิบัติให้มีขึ้น ก็มีอยู่ในตน

          แต่ในขณะที่ยังมิได้ปฏิบัติในมรรค คือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ยังไม่พบนิโรธความดับทุกข์ ทุกข์และสมุทัยก็ย่อมปรากฏอยู่ เป็นไปอยู่ในตน ดังจะพึงเห็นได้ในเมื่อพินิจพิจารณาดู ก็จะพบสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ เอาจำเพาะที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นไว้ คือตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากต่างๆ ก็มีอยู่เป็นไปอยู่ปรากฏให้เห็นได้ และทุกข์อันเป็นผล เป็นความทุรนทุรายเดือดร้อนต่างๆ เป็นความไม่สบายกายไม่สบายใจต่างๆ ก็ปรากฏให้เห็นได้

สุขในทุกข์

          แต่ว่าอาศัยที่สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ ยกเอาตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีเกิดมีดับ ถึงจะไม่ได้ปฏิบัติธรรมะ ก็มีเกิดมีดับ เมื่อเป็นดั่งนี้ จึงได้พบความดับซึ่งเป็นคติธรรมดาดั่งนี้ สลับกันไปอยู่เสมอ ความไม่สบายกายไม่สบายใจอันเป็นผลที่เกิดขึ้นก็ดับไปอยู่เสมอ แต่แล้วก็เกิดขึ้นอีก

          กับทั้งบุคคลได้รับความสุขโสมนัส อันเป็นผลของการได้ในสิ่งที่ปรารถนาต้องการ จึงทำให้รู้สึกสบายกายสบายใจในคราวหนึ่งๆ ความสบายกายสบายใจนั้นก็หายไป ก็ได้ความไม่สบายกายไม่สบายใจมาเกิดสลับ เพราะต้องพบกับความปรารถนาไม่สมหวัง ก็เป็นอันว่าได้สุขได้ทุกข์สลับกันไป ทำให้ไม่มองเห็นในสัจจะ ซึ่งความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงชี้ในทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ ยังมองเห็นเป็นความสุข และก็ติดอยู่ในสุขที่ได้นั้นเป็นครั้งเป็นคราว

          ความยากในการที่จะเห็นสัจจะคือความจริงว่าเป็นทุกข์จึงอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่เพลิดเพลินยินดีติดอยู่ในสุขโสมนัส หรือความสุขที่ได้เพราะสมหวัง เพราะสมปรารถนาในบางครั้งบางคราว สลับกันไปกับที่ไม่สมหวังอันเป็นทุกข์เดือดร้อน แต่เพราะตัวตัณหานี้เองที่ทำให้มีความหวัง แม้จะอยู่ในทุกข์เดือดร้อนแต่ก็มีความหวัง หวังในความสุขที่จะได้ต่อไป หวังว่าความทุกข์เดือดร้อนจะหายไป ซึ่งทุกข์เดือดร้อนนั้นก็หายไป คือดับไปตามคติของธรรมดาบ้าง กับได้รับความสุขขึ้นมาใหม่ อันเป็นผลที่ได้จากการได้มาทดแทนบ้าง เมื่อเป็นดั่งนี้จึงมองไม่เห็นทุกข์

          เหมือนอย่างร่างกายอันนี้เมื่อเกิดหิวขึ้นมาจึงรู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อบริโภคอาหารเข้าไปก็อิ่มหนำสำราญก็รู้สึกเป็นสุข และเพราะเหตุที่ได้มีอาหารบริโภคอิ่มหนำสำราญ กับทั้งได้รับกายบริหาร ทั้งที่เป็นไปโดยธรรมชาติ และทั้งที่การบำรุงให้มีขึ้น ร่างกายมีอนามัยมีผาสุก ก็รู้สึกว่าเป็นสุข

อโรคยา ปรมาลาภา

          เพราะฉะนั้นในสมัยพุทธกาลนั้น จึงได้มีแสดงถึงพราหมณ์ผู้หนึ่งได้เอามือลูบกายของตน ซึ่งเป็นกายที่มีอนามัยจึงมีความแข็งแรง ไม่รู้สึกว่าเป็นโรคอะไร ว่านี่แหละคือนิพพาน ก็คือหมายเอาความที่ไม่มีโรคทางกายปรากฏ กายจึงแข็งแรง พราหมณ์ก็ถือว่านี่แหละคือนิพพาน ฝ่ายพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเป็นพระพุทธภาษิตไว้ว่า อโรคยะ ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง หรือลาภทั้งหลายมีความไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าทรงมุ่งหมายเอาถึงโรคคือกิเลส เป็นต้นว่าความดิ้นรนทะยานอยากของจิตใจ สิ้นกิเลสจึงจะเป็น อโรคยะ คือความไม่มีโรค

          ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ทางพุทธศาสนาจึงมุ่งถึงความไม่มีโรคคือกิเลส ก็คือจิตว่างกิเลส ที่เรียกว่าจิตว่าง อันความว่างกิเลสนี้ได้มีพระพุทธภาษิตแสดงไว้เช่น นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง ก็หมายถึงความว่างกิเลส

สุญญตาคือความว่าง

          และได้มีศัพท์ธรรมะอีกคำหนึ่งเรียกว่า สุญญตา คือความว่าง อันสุญญตาคือความว่างนี้พระบรมศาสดาก็ได้ทรงแสดงไว้ นับตั้งแต่สุญญตาคือความว่างตั้งแต่เบื้องต้น อันเป็นขั้นสมาธิขึ้นไปโดยลำดับจนถึงที่สุด

          ดังที่มีเรื่องที่แสดงไว้ในพระสูตรที่แสดงถึงสุญญตาคือความว่าง รวมความเข้ามาตั้งแต่เบื้องต้นว่า

          สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ในบุพพารามของนางวิสาขามิคารมารดาในกรุงสาวัตถี ท่านพระอานนท์ได้เข้าเฝ้าในเย็นวันหนึ่ง และได้กราบทูลว่า เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ในสักกะชนบทในนิคมแห่งศากยะทั้งหลายอันชื่อว่านครกะ ท่านพระอานนท์ได้ฟังพระพุทธดำรัสที่ตรัสไว้ว่า เรา ก็คือพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ได้ประทับอยู่โดยมากในบัดนี้ด้วยสุญญตาวิหาร อันแปลว่าธรรมะเป็นเครื่องอยู่คือสุญญตาความว่าง

          พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสรับรองว่า เมื่อก่อนนี้ก็ดี ในบัดนี้ก็ดี พระองค์คือพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ได้ทรงอยู่โดยมากด้วยสุญญตาวิหาร ธรรมะเป็นเครื่องอยู่คือสุญญตาความว่าง ต่อจากนั้นก็ได้ตรัสแสดงถึงการปฏิบัติธรรมสุญญตาคือความว่างไปโดยลำดับ ตั้งแต่ในเบื้องต้นเป็นข้อๆ ไปโดยลำดับ

สุญญตาข้อแรก  (กำหนดป่า)

          ข้อแรกได้ทรงแสดงว่า ในปราสาทคือในสิ่งก่อสร้างที่เป็นชั้นๆ ในบุพพารามของนางวิสาขามิคารมารดานี้ เป็นที่ว่างจากช้างม้าโคกระบือ จากเงินทอง จากสันนิบาต คือความประชุมของชายหญิงทั้งหลาย ก็คือว่าว่างจากบ้าน ว่างจากมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเป็นอารามฉันใด ก็ให้ปฏิบัติมนสิการทำไว้ในใจกำหนดไว้ในใจเหมือนอย่างนั้น

          กล่าวคือไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นบ้าน ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นป่า ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นมนุษย์ ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นบ้าน ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นมนุษย์คือผู้คน แต่ว่ามนสิการใส่ใจกำหนดเสียว่าเป็นป่าปราศจากบ้าน ปราศจากมนุษย์ผู้คน

          เมื่อกล่าวโดยอุปมาข้างต้น บุพพารามนั้นว่างจากบ้าน ว่างจากมนุษย์คือผู้คนดังกล่าว แต่ว่าไม่ว่างอยู่สิ่งหนึ่งก็คือภิกษุสงฆ์ เพราะภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่ในบุพพารามนั้น

          แม้ความที่ไม่ใส่ใจว่าเป็นบ้านว่าเป็นมนุษย์ผู้คน แต่ว่าใส่ใจว่าเป็นป่าดังกล่าวนั้น ก็เป็นสุญญตา คือความว่าง เป็นความที่หยั่งจิตลงสู่สุญญตาคือความว่าง แต่ว่าก็ยังไม่ว่างอยู่อีกสิ่งหนึ่งเช่นเดียวกัน ก็คือว่ายังมีแผ่นดินที่ประกอบไปด้วยที่ลุ่มที่ดอน ต้นไม้ภูเขา ห้วยหนอง เป็นต้น อันรวมเรียกว่าเป็นป่านั้นนั่นเอง

          นี้เป็นข้อแรกของการปฏิบัติหัดทำจิตที่ทรงสั่งสอน และเป็นข้อที่ผู้ปฏิบัติธรรมะทางสมาธิพึงถือเป็นหลักปฏิบัติได้ กล่าวคือแม้จะอยู่ในบ้าน อยู่ในหมู่มนุษย์ที่เป็นชาวบ้านด้วยกันก็สามารถทำสมาธิได้ กล่าวคือไม่ใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นบ้าน ไม่ใส่กำหนดหมายว่าเป็นหมู่คน แต่ว่าใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นป่า เหมือนอย่างไม่มีบ้าน เหมือนอย่างไม่มีผู้คน ป่านั้นก็เป็นสถานที่ประกอบด้วยต้นไม้ภูเขาห้วยหนองคลองบึงที่ลุ่มที่ดอน ตลอดจนถึงสัตว์ป่าทั้งหลาย ไม่มีบ้านไม่มีผู้คน ใส่ใจกำหนดลงว่าเป็นป่าดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าได้ปฏิบัติหยั่งจิตลงไปสู่สุญญตา คือ ความว่างขั้นแรก และเมื่อเป็นดั่งนี้ก็สามารถทำจิตให้สงบได้เหมือนอยู่ในป่า ก็เป็นสุญญตาคือความว่าง เพราะว่างจากความกำหนดหมายว่าเป็นบ้าน ว่าเป็นหมู่คนนั้นเอง เป็นสุญญตาในข้อนี้

          ฉะนั้น จึงแสดงว่าความสำคัญนั้นอยู่ที่จิตใจ เมื่อจิตใจไม่กำหนดไม่ใส่ใจถึงสิ่งอันใด สิ่งอันนั้นก็ว่างไปเหมือนไม่มี แม้จะมีก็เหมือนไม่มี แม้ว่าจะเข้าไปอยู่ในป่าจริงๆ ไม่มีบ้านไม่มีผู้คน ถ้าจิตใจยังคำนึงถึงบ้านคำนึงถึงผู้คน บ้านและผู้คนก็มาตั้งอยู่ในจิตใจ แม้กายจะอยู่ในป่าก็ตาม ก็เป็นอันว่าจิตใจก็คงไม่สงบอยู่นั่นเอง กลับตรงกันข้ามกายอยู่ในบ้านอยู่กับผู้คนทั้งหลาย แต่ว่าจิตใจไม่ใส่ใจถึง กำหนดว่าเป็นป่า ป่าก็ตั้งขึ้นในจิตใจ จิตใจก็มีความสงบได้

          เพราะฉะนั้นข้อที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติเป็นข้อแรกนี้ ก็ย่อมมาเป็นนั่นเป็นนี่ ตั้งอยู่ในจิตใจ จิตใจก็ไม่ว่างจากสิ่งเหล่านั้น หากจิตใจวางได้ ไม่ใส่ใจถึง ไม่หมกมุ่นถึง ไม่คิดถึง ไม่ดำริถึง สิ่งนั้นๆ ก็ไม่มาตั้งอยู่ในจิตใจ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติรักษาจิตใจนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ อยู่ที่ไหนๆ เมื่อปฏิบัติรักษาจิตใจได้ ก็ปฏิบัติในศีลได้ ในสมาธิได้ ในปัญญาได้

สุญญตาข้อ ๒  (กำหนดแผ่นดิน)

          ต่อจากข้อนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าก็ได้ตรัสสอนต่อไป ให้ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นป่า ซึ่งประกอบไปด้วยต้นไม้ภูเขาห้วยหนองคลองบึง ที่ลุ่มที่ดอนเป็นต้น ซึ่งรวมเรียกว่าป่านั้น แต่ให้ใส่ใจกำหนดว่าเป็นแผ่นดินล้วนๆ ปราศจากต้นไม้ภูเขาห้วยหนองคลองบึงที่ลุ่มที่ดอน เป็นแผ่นดินที่ราบเรียบไปทั้งหมด เหมือนอย่างแผ่นหนังสัตว์ที่ได้มาจัดการทำให้ราบเรียบดีแล้ว เหมือนอย่างหนังหน้ากลองผืนใหญ่ราบเรียบไปตลอดทั้งหมด ดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าได้หยั่งลงสู่สุญญตาคือความว่างขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ว่าก็ยังไม่ว่างอยู่อีกสิ่งหนึ่งก็คือตัวแผ่นดินนั้นเอง ยังมีอยู่

          ในข้อนี้เป็นอันได้ตรัสสอนให้กำหนดทำสุญญตาคือความว่างที่สูงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง สูงขึ้นมาจากป่ามา เป็นกำหนดว่าเป็นแผ่นดินที่เรียบราบไปตลอดทั้งหมด เหมือนอย่างหนังหน้ากลองดังกล่าวนั้น เมื่อเป็นดั่งนี้จิตก็ย่อมจะได้ความสงบเป็นสมาธิขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แม้ในข้อนี้ก็ย่อมเป็นข้อที่ผู้ต้องการปฏิบัติสมาธิพึงเห็นว่าปฏิบัติได้ในที่ทุกสถานเช่นเดียวกัน และเมื่อได้หัดปฏิบัติใส่ใจกำหนดให้ได้ว่าเป็นป่าซึ่งเป็นข้อที่ ๑ นั้นแล้ว ก็ให้มาใส่ใจกำหนดให้เห็นว่าเป็นแผ่นดินที่ราบเรียบไปตลอดทั้งหมดต่อไป

          และในสองข้อนี้ก็ควรที่จะทำความเข้าใจเพิ่มเติมอีกว่า ข้อแรกความตั้งใจกำหนดว่าเป็นป่า ไม่มีบ้านไม่มีผู้คนนั้น ย่อมรวมถึงไม่มีรูป ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีโผฏฐัพพะ อันเป็นกามคือกามคุณ หรือวัตถุกาม คือเป็นสิ่งที่รักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย เพราะว่ากามหรือกามคุณ หรือวัตถุกามทั้งปวงนี้ ย่อมรวมอยู่ในคำว่าบ้าน รวมอยู่ในคำว่าผู้คน

          ฉะนั้นเมื่อจิตใจไม่กำหนดถึงว่าเป็นบ้าน ไม่กำหนดถึงว่าเป็นผู้คน ก็คือไม่กำหนดว่าเป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นโผฏฐัพพะ ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย อันรวมทั้งที่ไม่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลายด้วย คือไม่มีอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดีไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินร้ายทั้งปวง อันอารมณ์ทั้งปวงดังกล่าวนี้ย่อมรวมอยู่ในคำว่าบ้าน รวมอยู่ในคำว่าผู้คน รวมอยู่ในคำว่าเงินทองทรัพย์สินเป็นต้น ซึ่งเป็นบ้านนั้นเอง

          เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นบ้าน ก็คือไม่ใส่ใจกำหนดไปในอารมณ์ทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดีความยินร้ายทั้งสิ้น มากำหนดหมายว่าเป็นป่า คือว่าเห็นต้นไม้เห็นภูเขาเห็นบึงคลองหนองที่ลุ่มที่ดอนต่างๆ อันรวมความว่าเป็นป่า ไม่มีรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะเป็นต้น ทั้งที่น่ารักใคร่ ทั้งที่ไม่น่ารักใคร่ อันเป็นเรื่องของบ้าน อันเป็นเรื่องของผู้คน เมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะเรียกว่าใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นป่า จิตจึงสงบจากกามฉันท์ จากพยาบาทเป็นต้น อันเป็นนิวรณ์ ดั่งนี้ จึงเป็นสมาธิ และกรรมฐานที่เป็นอารมณ์ของสมาธินั้นก็คือว่าป่านั้นเอง

          ฉะนั้นจะต้องทำจิตกำหนดในบ้านในผู้คนเป็นต้นนี่ว่าเป็นป่าให้ได้ จึงจะได้สมาธิตั้งแต่ในขั้นต้น ถ้าหากว่ายังสงบกำหนดลงไปว่าเป็นป่าไม่ได้ ใจยังฟุ้งซ่านไปในนิวรณ์ทั้งหลาย เรื่องนั้นเรื่องนี้ คนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้างดั่งนี้แล้ว ก็แปลว่ายังกำหนดอยู่ในบ้านในผู้คน ทรัพย์สินทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งของยินดียินร้าย ตลอดถึงหลงซึ่งเป็นตัวนิวรณ์ ก็เป็นสมาธิไม่ได้ จะต้องกำหนดลงไปว่าเป็นป่าให้ได้ เห็นแต่ต้นไม้ภูเขาห้วยหนองคลองบึงที่ลุ่มที่ดอน ล้วนเป็นป่าทั้งนั้น ไม่มีอารมณ์อันเกี่ยวกับบ้านเกี่ยวกับผู้คน ที่น่าชอบใจบ้าง ไม่น่าชอบใจบ้าง นี่คือป่าที่ให้กำหนดให้ตั้งอยู่ในจิตใจ ก็สงบนิวรณ์ได้ จิตก็รวมเข้ามาเป็นสมาธิได้

กำหนดให้เห็นธรรมชาติธรรมดา

          เพราะฉะนั้นแม้การปฏิบัติในสติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม ว่าเป็นกายเป็นเวทนาเป็นจิตเป็นธรรมนั้น คือ กำหนดให้เห็นว่าเป็นธรรมชาติธรรมดา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ถ้ายังเห็นว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอยู่ ก็ไม่เป็นกาย ไม่เป็นเวทนา ไม่เป็นจิต ไม่เป็นธรรม ยังไม่เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน เพราะว่ายังเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ยังเป็นตัวเราเป็นของเรา เป็นตัวเขาเป็นของเขา

          เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าการพิจารณากายเวทนาจิตธรรมข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม มองเห็นเป็นตัวเราเป็นของเรา เป็นตัวเขาเป็นของเขา เป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ก็เท่ากับว่าเป็นบ้านเป็นหมู่คน ยังเป็นกาม เป็นกามคุณ เป็นวัตถุกาม ต่อเมื่อมามองเห็นว่าเป็นสักแต่ว่ากาย เป็นสักแต่ว่าเป็นเวทนา เป็นสักแต่ว่าเป็นจิต เป็นสักแต่ว่าเป็นธรรม เป็นธรรมชาติธรรมดาที่ปรากฏที่ประกอบกัน ดั่งนี้ ก็คือว่า เท่ากับว่ากำหนดใส่ใจเห็นว่าเป็นป่า ป่ากาย ป่าเวทนา ป่าจิต ป่าธรรม เหมือนอย่างเป็นป่าต้นไม้ชนิดนั้น ชนิดนี้ ชนิดโน้น เป็นภูเขาเป็นห้วยหนองคลองบึง ที่ลุ่มที่ดอนเป็นต้น ไม่มาเป็นที่ตั้งของสัตว์บุคคล หรือตัวเราของเรา

          อันที่จริงนั้นบ้านก็มาจากป่านั้นเอง คนก็ไปตัดเอาไม้มาจากป่า เอามาสร้างเป็นบ้าน เป็นวัตถุเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับอยู่อาศัย ต้นไม้นั้นเองเมื่อเอามาสร้างเป็นบ้านก็กลายเป็นบ้านขึ้น แต่อันที่จริงก็มาจากต้นไม้ ยกเป็นตัวอย่าง คือป่านั่นเองแล้วมาเป็นบ้านขึ้นตามที่บุคคลมาปรุงแต่งขึ้น

          ฉันใดก็ดีป่ากายป่าเวทนาป่าจิตป่าธรรมนี้ ก็เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดา เหมือนอย่างต้นไม้ภูเขาในป่านี้แหละ แต่ว่าบุคคลนี้เองเอากายเวทนาจิตธรรมนี้ มาแต่งตั้งขึ้นว่าเป็น นาย ก. นาย ข. นาง ก. นาง ข. เป็นเราเป็นของเรา คนเราทั้งนั้นมาแต่งตั้งขึ้น แต่งตั้งให้ป่านี้มาเป็นบ้านขึ้น ก็มาเป็นบ้าน เป็นตัวเราเป็นของเรา เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติสติปัฏฐานนั้น ข้อแรกจึงต้องให้เป็นป่าเสียก่อน ให้เป็นป่ากาย กับป่าเวทนา ป่าจิต ป่าธรรม แล้วจะได้สติปัฏฐานเป็นความสงบ สงบกาม สงบอกุศลธรรมธรรมทั้งหลาย สงบนิวรณ์

ธาตุข้อเดียว

          คราวนี้เมื่อต้องการให้ความสงบยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ก็กำหนดป่านั่นแหละ ว่าเป็นแผ่นดินที่ราบเรียบไปทั้งหมด ต้นไม้ก็ไม่มี ภูเขาก็ไม่มี เป็นแผ่นดินที่ราบเรียบไปทั้งหมด ดั่งนี้ก็คือว่าเมื่อยังมีการจำแนก เป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรมอยู่ ก็ง่ายที่จะยึดถือไปเป็นบ้าน เหมือนอย่างเมื่อยังมีต้นไม้อยู่ ก็ยังง่ายที่จะตัดต้นไม้ไปสร้างเป็นบ้าน เมื่อยังมีกายมีเวทนามีจิตมีธรรมอยู่ ก็เป็นการง่ายที่จะยึดถือเอาไปเป็นตัวเราเป็นของเรา

          ฉะนั้นในขั้นต่อไปที่ตรัสสอนให้ใส่ใจกำหนดว่าเป็นแผ่นดินผืนเดียว ที่ราบเรียบไปทั้งหมด ต้นไม้ก็ไม่มี ภูเขาก็ไม่มี ห้วยหนองคลองบึงก็ไม่มี ดั่งนี้ ก็เท่ากับว่าไม่ต้องคำนึงว่าเป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรม แต่สักแต่ว่าเป็นธาตุ เป็นธาตุข้อเดียว และยกเอามาเป็นประธานก็คือว่าเป็นธาตุดินไปทั้งหมด หากว่าจะรวมเข้าก็เป็นธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ดั่งนี้ ก็ทำให้จิตสงบยิ่งขึ้น และก็ไกลจากที่จะน้อมน้าวไปเป็นบ้าน เป็นกาม ดังกล่าวนั้นด้วย

          ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

(๒) กำหนดอากาศ - วิญญาณ

          บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

          ได้แสดงสติปัฏฐานทั้ง ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ก็กายเวทนาจิตธรรมนี้เอง เมื่อยังมีความยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็เท่ากับว่าเป็นบ้าน เป็นหมู่คนชายหญิง เป็นกามคุณ หรือวัตถุกามที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย แต่เมื่อได้ใส่ใจกำหนดว่าเป็นสักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าเป็นเวทนา สักแต่ว่าเป็นจิต สักแต่ว่าเป็นธรรม ระงับความใส่ใจกำหนดยึดถือต่างๆ ดังกล่าว กายเวทนาจิตธรรมนี้ก็เท่ากับว่าเป็นป่า ป่ากาย ป่าเวทนา ป่าจิต ป่าธรรม

กายเวทนาจิตธรรมสักแต่ว่าเป็นธาตุ

          และเมื่อได้กำหนดละลายกายเวทนาจิตธรรมลงไปว่าสักแต่ว่าเป็นธาตุ ยกเอาปฐวีธาตุ ธาตุดิน เป็นที่ตั้ง แต่อันที่จริงก็รวมทั้ง ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ยกเอาธาตุดินขึ้นเป็นที่ตั้ง สักแต่ว่าเป็นธาตุดิน ที่เป็นแผ่นดินราบรื่นเป็นหน้ากลอง ไม่มีต้นไม้ ไม่มีภูเขาเป็นต้น อันเรียกว่าป่า เมื่อเป็นดั่งนี้จิตก็ได้สมาธิกับทั้งปัญญาที่สงบยิ่งขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ดังที่ได้แสดงแล้ว

          พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนให้ใส่ใจกำหนดว่าเป็นป่าก็ย่อมได้สุญญตาคือความว่าง ว่างจากความกำหนดหมายว่าเป็นบ้าน ว่าเป็นผู้คน ว่าเป็นวิญญาณกทรัพย์ทั้งหลายเป็นต้น และเมื่อได้ใส่ใจกำหนดว่าเป็นแผ่นดินที่ราบรื่นเป็นหน้ากลอง ไม่กำหนดว่าเป็นป่า ก็ย่อมได้สุญญตาคือความว่างที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก

          แต่ว่าในชั้นแรกเมื่อตั้งใจกำหนดว่าเป็นป่า แม้จะได้สุญญตาคือความว่าง ว่างจากความกำหนดหมายว่าเป็นบ้าน ว่าเป็นผู้คน แต่ก็ยังมีไม่ว่างอยู่คือยังมีป่า และเมื่อไม่กำหนดหมายว่าเป็นป่า กำหนดหมายว่า ปฐวี ปฐวี เป็นแผ่นดินที่ราบเรียบไปเป็นหน้ากลอง ก็ได้สุญญตาคือความว่างจากความกำหนดหมายว่าเป็นป่า ว่างจากป่า แต่ก็มาเหลือไม่ว่างอยู่ คือเหลือเป็นแผ่นดินที่ราบเรียบเป็นหน้ากลองนั้น

สุญญตาข้อที่ ๓ (กำหนดอากาศ)

          เพราะฉะนั้นพระบรมศาสดาจึงได้ตรัสสอนให้ไม่กำหนดหมายว่าเป็นแผ่นดิน แต่ใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นอากาศคือช่องว่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่กำหนดหมายว่าเป็นป่า ไม่กำหนดหมายว่าเป็นแผ่นดิน ความใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นอากาศไม่มีที่สุดนี้ ก็คือเป็นช่องว่างไม่มีที่สุด คือเป็นช่องว่างไปทั้งหมด ว่างจากแผ่นดิน หรือจะกล่าวว่าว่างจากปฐวีคือแผ่นดิน อาโปคือแผ่นน้ำ เตโชคือไฟ วาโยคือลม ว่างจากดิน จากน้ำ จากไฟ จากลม ทั้งหมด มาเป็นอากาศคือเป็นช่องว่าง ไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีลม ทั้งหมด ความใส่ใจกำหนดลงไปว่าอากาศคือช่องว่างดั่งนี้ ย่อมจะทำให้จิตสงบตั้งมั่น ละเอียดขึ้นอีกชั้นหนึ่งคือว่างไปทั้งหมด

          จิตที่กำหนดว่าอากาศไม่มีที่สุดคือเป็นช่องว่างไปทั้งหมดดั่งนี้ ย่อมห่างไกลจากวัตถุอันจะดึงจิตใจให้ยึดถือยิ่งขึ้น ก็ย่อมมีต้นไม้มีภูเขา มีห้วยหนองคลองบึงเป็นต้น อันรวมเรียกว่าเป็นป่านั้น ใจก็จะน้อมไปสู่ป่า และเมื่อใจน้อมไปสู่ป่าอีกขั้นหนึ่งก็น้อมไปสู่บ้าน เป็นบ้านเป็นหมู่คน เมื่อใจเข้าบ้านใจเข้าหมู่คน กามและอกุศลธรรมทั้งหลายก็บังเกิดขึ้นได้ง่าย

          ฉะนั้น เมื่อได้หัดกำหนดให้ละเอียดขึ้นโดยลำดับ มากำหนดว่าเป็นป่า มากำหนดว่าเป็นแผ่นดิน จึงเพื่อที่จะให้ความกำหนดของจิตนี้ ห่างไกลจากวัตถุซึ่งเป็นเครื่องดึงไปสู่นิวรณ์ คือกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย ให้ห่างไกลยิ่งขึ้น จึงได้ตรัสสอนให้ไม่กำหนดว่าเป็นแผ่นดิน มากำหนดว่าเป็นอากาศคือเป็นช่องว่าง ว่างไปทั้งหมดไม่มีที่สุด ไม่มีแผ่นดิน ไม่มีป่า เมื่อเป็นดั่งนี้จึงได้สุญญตาคือความว่าง ว่างจากป่า ว่างจากแผ่นดิน แต่ว่าก็ยังมีความไม่ว่างคือยังมีอากาศนั้นเอง ช่องว่างไม่มีที่สุดนั้นเองยังเป็น อสุญญตา คือเป็นความไม่ว่างอยู่

สุญญตาข้อที่ ๔ (กำหนดวิญญาณ)

          เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสสอนยิ่งขึ้นไปอีก ให้ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นป่า ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นแผ่นดิน ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นอากาศคือเป็นช่องว่าง ว่างไม่มีที่สุด ว่างไปหมด มาใส่ใจกำหนดว่าวิญญาณไม่มีที่สุด

          อันวิญญาณนั้นกล่าวเข้าใจง่ายๆ ก็คือตัวรู้ หรือความรู้ วิญญาณที่ตรัสแสดงไว้ในที่ต่างๆ เช่นวิญญาณในธาตุ ๖ ได้แก่ธาตุรู้ วิญญาณธาตุ ธาตุรู้ วิญญาณในขันธ์ ๕ ได้แก่รู้เห็น รู้ได้ยิน เป็นต้น ในเมื่ออายตนะภายใน อายตนะภายนอก มีตากับรูป หูกับเสียง เป็นต้นมาประจวบกัน ก็เห็น ก็ได้ยิน

          อันการเห็นการได้ยินนั้นก็คือตัวความรู้อย่างหนึ่งนั้นเอง เห็นก็คือรู้เห็น ได้ยินก็คือรู้ได้ยิน เป็นความรู้ของวิญญาณธาตุ คือธาตุรู้ ที่รู้ทางอายตนะ เพราะฉะนั้นในที่นี้วิญญาณจึงหมายถึงตัววิญาณธาตุ คือธาตุรู้ นั้นเองก็ได้ หมายถึงความรู้ของวิญญาณธาตุคือธาตุรู้นั้น ซึ่งรู้ทางอายตนะ อันมีลักษณะเป็นเห็นเป็นได้ยิน ดังกล่าวเป็นต้นนั้นก็ได้ แต่เพื่อให้รวบรัดก็แสดงว่า ความรู้ หรือตัวรู้ ความรู้หรือตัวรู้ไม่มีที่สุด

          อันอากาศคือช่องว่างไม่มีที่สุด คือว่างไปทั้งหมดนั้น ก็จะพึงกล่าวได้ว่าเป็นความว่างในภายนอก คราวนี้จึงไม่ใส่ใจกำหนดถึงตัวความว่างซึ่งเป็นภายนอกนั้น มากำหนดตัวความรู้ในภายในว่าไม่มีที่สุด เพราะว่าอันความว่างหรือช่องว่างไม่มีที่สุดอันเป็นภายนอกนั้น ก็เพราะมีตัวรู้หรือมีความรู้ อันกำหนดอยู่ในช่องว่างอันไม่มีที่สุดนั้นเอง ถ้าไม่มีตัวรู้ หรือไม่มีความรู้ซึ่งเป็นภายในแล้ว ก็เป็นอันว่าไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น

          แม้ว่าจะมีทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างในภายนอก จะมีป่า จะมีแผ่นดิน ตลอดจนถึงมีอากาศคือช่องว่าง แต่ว่าถ้าไม่มีวิญญาณธาตุ ซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นตัวรู้ เป็นความรู้ ของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว ก็รู้อะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่ว่าที่รู้อะไรได้นั้นก็เพราะมีธาตุรู้ มีตัวรู้ มีความรู้อยู่ จึงรู้อะไรๆ ได้ และเมื่อธาตุรู้ หรือตัวรู้ หรือความรู้มากำหนดอากาศคือช่องว่าง ว่าไม่มีที่สุด คือเป็นช่องว่างไปทั้งหมด จึงรู้ รู้ว่าเป็นช่องว่างไปทั้งหมดไม่มีที่สุด

          ฉะนั้นจึงไม่กำหนดสิ่งที่รู้ คืออากาศนั้น มากำหนดตัวความรู้ข้างใน คือนำสติมากำหนดตัวรู้ความรู้ซึ่งเป็นภายในนี้ ไม่กำหนดสิ่งที่รู้คืออากาศ มากำหนดตัวความรู้ หรือตัวรู้ ซึ่งตั้งอยู่ในภายใน

          และแม้ตัวรู้ หรือความรู้นี้ก็ไม่มีที่สุดเช่นเดียวกันกับอากาศที่ไม่มีที่สุด เพราะมีตัวรู้ หรือมีความรู้ที่ไม่มีที่สุด จึงกำหนดอากาศคือช่องว่างว่าไม่มีที่สุดได้

          อากาศคือช่องว่างที่ไม่มีที่สุดนั้น จะรู้ได้ก็เพราะมีตัวรู้ หรือมีธาตุรู้ มีความรู้ ที่ครอบคลุมอากาศคือช่องว่างไม่มีที่สุดนั้น เพราะฉะนั้น แม้ตัวความรู้ก็เป็นสิ่งไม่มีที่สุดเช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับอากาศที่ไม่มีที่สุด เมื่อเป็นดั่งนี้ ความใส่ใจกำหนดจึงน้อมเข้ามาถึงตัวรู้ หรือธาตุรู้ ความรู้ที่เป็นภายใน ว่าไม่มีที่สุด ดั่งนี้ก็เป็นสมาธิจิตอันประกอบด้วยญาณคือความหยั่งรู้ หรือปัญญาซึ่งเป็นตัวรอบรู้ที่สูงขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง

สุญญตาข้อที่ ๕  (ไม่ใส่ใจกำหนดใดๆ)

          เมื่อกำหนดได้ดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าได้สุญญตา คือความว่าง ว่างจากบ้าน ผู้คน ว่างจากป่า ว่างจากแผ่นดิน ว่างจากอากาศไม่มีที่สุด แต่ว่าก็ยังมีความไม่ว่าง คือตัววิญญาณ คือตัวรู้หรือธาตุรู้นั้นเอง เพราะฉะนั้น พระบรมศาสดาจึงได้ตรัสสอนให้ไม่ใส่ใจกำหนด แม้ว่าวิญญาณ ธาตุรู้ ตัวรู้ หรือความรู้ไม่มีที่สุด มากำหนดว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มี ความกำหนดดั่งนี้ เป็นความกำหนดที่ทำให้ไม่มีกังวลห่วงใย

          เพราะว่าเมื่อเพ่งดูเข้าไปในอากาศที่ไม่มีที่สุดก็ดี ในตัวรู้ ธาตุรู้ หรือความรู้ที่ไม่มีที่สุดก็ดี ย่อมไม่พบว่ามีอะไรแม้แต่น้อยหนึ่งนิดหนึ่ง ไม่มีแผ่นดิน แผ่นน้ำ ลม ไฟ อันเป็นวัตถุแม้แต่น้อยหนึ่งนิดหนึ่ง ไม่มีป่าแม้แต่น้อยหนึ่งนิดหนึ่ง ไม่มีบ้านไม่มีผู้คนแม้แต่น้อยหนึ่งนิดหนึ่ง เพราะว่าเป็นอากาศคือช่องว่าง ว่างไปทั้งหมด และแม้อากาศคือช่องว่างนั้นก็ไม่มีอีกเหมือนกัน เพราะว่ามีแต่ตัวธาตุรู้ หรือตัวรู้ หรือความรู้ อันไม่มีที่สุด และแม้ตัวธาตุรู้ ความรู้ ตัวรู้ นั้นก็ไม่มีอีกเหมือนกัน เพราะเป็นความว่าง อะไรสักน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มี

          เมื่อกำหนดเข้ามาถึงขั้นนี้ ก็เป็นอันว่าได้ความว่างอันเรียกว่า สุญญตา คือความว่าง ว่างจากบ้าน ว่างจากผู้คน ว่างจากป่า ว่างจากแผ่นดิน ว่างจากอากาศที่ไม่มีที่สุด ว่างจากวิญญาณที่ไม่มีที่สุด

          แต่ว่าก็ยังมีไม่ว่างอยู่ที่ว่าอารมณ์ที่ว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มีนั้น เพราะฉะนั้นพระบรมศาสดาจึงได้ตรัสสอน ให้ไม่กำหนดอารมณ์ว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มีนั้น มาตั้งทำความสงบอยู่ในภายใน ไม่ต้องกำหนดว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มี เพราะความกำหนดว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มีนั้น ก็ยังเป็นตัวอารมณ์ อารมณ์ที่กำหนด

สุญญตาข้อที่ ๖  (ไม่กำหนดสัทสัญญา)

          เพราะฉะนั้นจึงไม่กำหนดอารมณ์ว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มีนั้น มากำหนดตั้งสงบอยู่ในภายใน ความสงบที่ตั้งอยู่ในภายในนี้ก็ละเอียดประณีต ไม่มีอารมณ์ว่ารูป ไม่มีอารมณ์ว่าเสียง ไม่มีอารมณ์ว่ากลิ่น ไม่มีอารมณ์ว่ารส ไม่มีอารมณ์ว่าโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง

          และยังมีธรรมารมณ์ อารมณ์ คือ ธรรมะเป็นที่ตั้งอยู่เป็นอย่างละเอียด ไม่ใช่รูป ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส ไม่ใช่โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้นอาการของจิตที่เป็นสัญญา คือความกำหนดหมาย จึงสงบลงไปเป็นส่วนมาก ไม่มีรูปสัญญา ความกำหนดหมายว่าเป็นรูป สัทสัญญา ความกำหนดหมายว่าเป็นเสียง ฆานสัญญา ความกำหนดหมายว่าเป็นกลิ่น รสสัญญา ความกำหนดหมายว่าเป็นรส โผฏฐัพพะสัญญา ความกำหนดหมายว่าเป็นโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง และตลอดจนถึง ธรรมสัญญา ความกำหนดหมายว่าเป็นธรรมารมณ์ อย่างหยาบก็ไม่มี เป็นอย่างละเอียด สำหรับเป็นที่หมายอยู่ ตั้งอยู่ในจิตใจ

          และเมื่อเป็นดั่งนี้ จึงเรียกว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ มีสัญญาก็ไม่ใช่ก็คือว่า ไม่มีรูปสัญญา สัทสัญญาเป็นต้น ไม่มีก็ไม่ใช่คือว่ายังมีอยู่แต่ว่าน้อย ละเอียดมากเป็นธรรมสัญญาอย่างละเอียดที่กำหนดอยู่ เมื่อกำหนดถึงขั้นที่ตรัสสอนไว้นี้ ก็เป็นอันว่าได้สุญญตาคือความว่างมาโดยลำดับ ว่างจากบ้าน ว่างจากผู้คน ว่างจากป่า ว่างจากปฐวีแผ่นดิน ว่างจากอากาศ ว่างจากวิญญาณ ว่างจากอารมณ์ที่ว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่ง มาตั้งสงบอยู่ในภายใน เหมือนอย่างไม่มีสัญญาอะไร

          แต่ว่าก็มีสัญญา คือความที่กำหนดหมายอยู่ดั่งนี้ อันเป็นตัวสัญญาความกำหนดหมาย กำหนดหมายอยู่ว่าไม่มีอะไร ตั้งสงบอยู่ในภายใน ก็เป็นความว่างที่ตรัสสอนอีกชั้นหนึ่ง

          เพราะฉะนั้นตามที่ตรัสสอนไว้นี้ เป็นการตรัสสอนให้ฝึกหัดปฏิบัติทำสมาธิ พร้อมทั้งได้ปัญญาคือความรู้ไปด้วยกัน จิตก็ได้สมาธิที่เป็นตัวความสงบตั้งมั่น และได้ปัญญาที่เป็นตัวความรู้ และเมื่อละเอียดยิ่งขึ้นสติก็ตื่นสว่างโพลงยิ่งขึ้น ปัญญาก็รู้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น จิตก็ตั้งมั่นสงบ และผ่องใสแจ่มใสยิ่งขึ้นไปโดยลำดับ ปราศจากนิวรณ์ทั้งหลาย เป็นความสว่างโพลง เป็นความตื่น เป็นความผ่องใสใจอยู่ภายใน เป็นความตั้งมั่นสงบอยู่ในภายใน ยิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยการปฏิบัติทางสติปัฏฐาน กายเวทนาจิตธรรมมาโดยลำดับนั้นเอง

          ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

(๓) เนวสัญญานาสัญญายตนะ

          บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่าน ตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟังเพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

          ได้แสดงสุญญตาคือความว่าง ที่พระบรมศาสดาได้ตรัสถึงพระองค์เองว่าทรงอยู่โดยมากด้วยสุญญตาวิหาร ธรรมะเครื่องอยู่คือสุญญตาความว่างทั้งเมื่อก่อนแต่นี้ และทั้งในเวลานี้คือเวลาที่ตรัสเล่าเรื่องนี้และพระองค์ก็ได้ทรงแสดงถึงวิธีปฏิบัติสุญญตา คือความว่าง ตั้งแต่เบื้องต้นขึ้นไปโดยลำดับ

          ก็โดยที่บุคคลสามัญทั่วไปนั้นในขณะที่อยู่เฉยๆ มิได้ทำอะไรในบางคราว ก็รู้สึกว่าว่างอันเป็นที่รำคาญ ไม่ผาสุกแต่หากให้ทำอะไรต่างๆรู้สึกว่าไม่ว่าง ก็ทำให้เพลินไปในการงานต่างๆ ที่ทำนั้นแต่อันที่จริงในขณะที่ต้องมาอยู่ว่าง เช่นในขณะที่เจ็บป่วยก็ดี หรือในขณะที่ลาเข้ามาบวช พักการพักงานชั่วระยะหนึ่งก็ดี ที่รู้สึกว่าว่าง ไม่มีอะไรจะทำ น่ารำคาญ และมีความทุกข์ ไม่สบายอยู่กับความว่าง ไม่มีอะไรจะทำดังกล่าวนั้น

          แต่อันที่จริงความว่างที่เข้าใจว่าว่างอันทำให้รำคาญนี้หาได้ชื่อว่าสุญญตา คือความว่าง อันเป็นธรรมปฏิบัติในพุทธศาสนาไม่เพราะว่า จิตใจไม่ว่าง เต็มไปด้วยนิวรณ์ต่างๆ ว่าถึงนิวรณ์ ๕ ก็เป็น กามฉันท์ ความยินดีรักใคร่อยู่ในกามบ้าง เป็นพยาบาท ความหงุดหงิดโกรธแค้นขัดเคืองต่างๆ บ้าง เป็นถีนมิทธะ ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้มบ้าง เป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญบ้าง เป็นวิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ บ้าง

          ใจจึงไม่สงบเพราะมีอาลัยความผูกพัน ติดอยู่ในสิ่งนั้นบ้าง ในสิ่งนี้บ้าง ในบุคคลนั้นบ้าง ในบุคคลนี้บ้าง ซึ่งโดยปรกตินั้นเมื่อมีความอาลัยผูกพันอยู่ดั่งนี้ก็มักจะไปหาสิ่งที่มีอาลัยผูกพัน หรือบุคคลที่มีอาลัยผูกพันอยู่ได้  แล้วก็มีอารมณ์ ที่ไม่ดีก็เป็นโกรธ เป็นไม่พอใจ เหล่านี้เป็นต้น ใจไม่ว่าง ใจไม่สงบ เพราะฉะนั้นความว่างก็คือตัวความสงบ และคือตัวอุเบกขาความที่รู้วางไม่วุ่นวาย ไม่ยุ่ง ใจสงบ ใจวาง แม้รู้อยู่ก็สงบได้ วางได้ ดั่งนี้ จึงจะเป็นสุญญตาคือความว่าง

สุญญตา ความว่าง

          และสุญญตา คือความว่างที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น หากหัดปฏิบัติไปตามที่ทรงสั่งสอนตั้งแต่ในเบื้องต้น ก็ย่อมจะทำได้สะดวกจะทำให้จิตใจนี้ว่างจากอารมณ์ที่ปรุงใจ ว่างจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจ ไปโดยลำดับ เพราะฉะนั้นจะอยู่ที่ไหน จะป่วยหรือไม่ป่วย จะบวชหรือไม่บวชก็สามารถที่จะพบกับสุญญตาคือความว่างตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ได้ หากไม่ปฏิบัติตามที่ทรงสั่งสอน ก็จะไม่ได้พบสุญญตาคือความว่าง เจ็บป่วยก็ไม่ได้พบสุญญตาคือความว่าง บวชก็ไม่ได้พบสุญญตาคือความว่าง เป็นคฤหัสถ์ก็ไม่ได้พบสุญญตาคือความว่าง เป็นบรรพชิตก็ไม่ได้พบสุญญตาคือความว่าง

          เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมะ จึงต้องฝึกหัดปฏิบัติทำสุญญตา คือความว่างตามที่ทรงสั่งสอนดั่งที่ได้แสดงมาแล้วโดยลำดับ แต่ว่าจะได้แสดงทบทวนในตอนท้ายซึ่งจะเป็นทางนำการปฏิบัติไปด้วย

ความหมายของเนวสัญญานาสัญญายตนะ

          ก็ได้แสดงมาถึงที่ตรัสสอนให้ มนสิการ คือทำใจกำหนดในจิตอย่างละเอียด จนถึงปล่อยอารมณ์ทั้งหมดทั้งที่เป็น รูปารมณ์ อารมณ์ที่เป็นรูป หรือดังที่เรียกว่ารูปฌาน รูปสมาบัติกับทั้ง อรูปารมณ์ อารมณ์ที่ไม่มีรูป ดังที่เรียกว่าอรูปฌาน หรืออรูปสมาบัติ 

          แต่ก็ไม่หมดทีเดียว ถึงไม่หมดก็ละเอียดที่สุด เกือบจะหมด คือในข้อที่ว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ คือมีสัญญาอยู่เหมือนกัน แต่ว่าละเอียดมาก แม้เป็นสัญญา คือความกำหนดหมายที่ละเอียดมาก จิตนี้ก็สว่างโพลง ตั้งมั่น มีความรู้อยู่เต็มที่ มีความเข้าไปเพ่งอยู่เต็มที่ คือเข้าไปเพ่งอยู่กับสิ่งที่ไม่มีนั้น แต่ว่าอันที่จริงนั้นก็ยังมีอยู่อีกหน่อยหนึ่ง ไม่ใช่ไม่มีไปทั้งหมด

          คล้ายๆ กับว่า รู้สึกว่าจะมีคนหลบอยู่ในห้องๆ หนึ่งก็เข้าไปในห้องนั้น แล้วก็ค้นหาว่ามีใครอยู่ในห้องนั้น ซ่อนอยู่ที่ไหนบ้าง ก็ไม่พบใครสักคนหนึ่ง จึงมีความเข้าใจว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น แต่อันที่จริงนั้นลืมนึกไปถึงว่า มีตัวเองอยู่ในห้องนั้นอีกหนึ่งคน คือตัวเองซึ่งเป็นผู้ค้นหานั้น เพราะฉะนั้นไม่มีใครอื่น เรียกว่าไม่มีอารมณ์ทั้งที่เป็นรูป ทั้งที่เป็นอรูป อื่นๆ ทั้งหมดแต่ว่าก็ยังมีตัวเราอยู่ อันเป็นที่ยึดถืออยู่ และในการค้นหานั้นก็ยังเป็นการค้นซึ่งแสดงว่ายังไม่เสร็จกิจ ยังต้องค้น ยังต้องปรุงแต่งการค้น

          เพราะฉะนั้นที่ว่า มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่นั้น ก็หมายความว่ามีสัญญาอยู่เหมือนกัน แต่ว่าละเอียดมาก ไม่ถึงจะกล่าวว่าเป็น รูปสัญญา กำหนดหมายในรูป

          สัทสัญญา กำหนดหมายในเสียง หรือในอากาศ ช่องว่าง ในวิญญาณที่เป็นตัวรู้หรือในอะไรๆ ที่แม้น้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มี ในสิ่งที่เป็นช่องว่างนั้นแต่ก็ยังมีตัวสัญญาที่กำหนดอยู่นั่นแหละ คือกำหนดว่าไม่มีความกำหนดว่าไม่มีนั้นเองก็เป็นสัญญา

          ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงว่า แม้หัดปฏิบัติมาถึงขั้นนี้ก็ยังมีเหลืออยู่อย่างหนึ่งคือกายนี้ที่มีอายตนะทั้ง ๖ และมีชีวิตเป็นปัจจัยกับทั้งยังมีตัวสัญญาที่แม้ว่าจะไม่ชัดเจน เพราะเป็นความกำหนดอยู่ว่า น้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มี ตัวความกำหนดนั้นก็ยังเป็นตัวสัญญา แต่เป็นอย่างละเอียด

อนิมิตเจโตสมาธิ

          ฉะนั้นในขั้นต่อไป จึงได้ตรัสสอนให้ไม่ใส่ใจถึงความกำหนดหมายอันเป็นตัวสัญญาที่ละเอียดดังกล่าว แต่ให้ใส่ใจถึงข้อที่เรียกว่า อนิมิตเจโตสมาธิ คือสมาธิแห่งใจที่ไม่มีนิมิตสำหรับกำหนดหมายอัน อนิมิตเจโตสมาธิ สมาธิแห่งใจที่ไม่มีนิมิตเป็นเครื่องกำหนดหมายนี้ เป็นสิ่งที่ละเอียดมากและโดยปรกติก็แสดงในขั้นสูงสุดของการปฏิบัติ

          และพระอาจารย์โดยมากก็แสดงอธิบายเป็นวิปัสสนากรรมฐานไปทีเดียวว่า คือปัญญาที่พิจารณานิมิต คือสิ่งที่กำหนดทั้งหมดของจิตใจหรือที่เรียกกันเป็นสามัญว่า ขันธ์ ๕ ก็ดี นามรูปก็ดีหรือว่ารูป หรือว่ากาย เวทนา จิต ธรรม ก็ดี หรือว่าอายตนะ หรือว่าธาตุก็ดีซึ่งทั้งหมดก็มีอยู่ในกายและใจอันนี้ทั้งหมด ไม่กำหนดยึดถือในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตาคือเป็นตัวเราของเราแต่ทั้งหมดเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้เป็นอนัตตาไม่ใช่อัตตาตัวตน

          และเมื่อได้พิจารณาจนได้ปัญญาในไตรลักษณ์ดั่งนี้จึงไม่มีนิมิต คือไม่มีความยึดถือของจิตที่กำหนดในอะไรๆทั้งสิ้นว่าเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตาตัวตน ดั่งนี้เป็นอนิมิตเจโตสมาธิ

          อนึ่ง ก็อาจพิจารณาได้อีกว่าอนิมิตเจโตสมาธินั้น สูงกว่าขั้นที่กำหนดในสัญญาอย่างละเอียดเป็นสัญญาที่กำหนดในความไม่มี น้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มีซึ่งเป็นตัวสัญญาเหมือนกัน ละเอียดจนถึงว่าไม่ถนัดที่จะเรียกว่ามีสัญญา แต่ก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่าไม่มีสัญญา เพราะมีเหมือนกัน ซึ่งในขั้นอนิมิตนี้ก็เป็นอันว่าเลิกสัญญากันทั้งหมด จิตเข้าสู่ธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของจิตนั้นคือ เป็นวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ เป็นอภัสรธาตุ คือธาตุที่ผ่องใส ทั้งสองนี้เป็นธรรมชาติของจิต รู้และผ่องใส

          ในขั้นอนิมิตเจโตสมาธินี้ จิตจึงตั้งสงบอยู่ภายใน ประกอบด้วยความรู้ประกอบด้วยความผ่องใส ไม่ออกมากำหนดอะไรๆ ทั้งหมด หยุดสงบอยู่ในภายในจึงไม่มีสัญญาในอะไรๆ ทั้งหมด ตั้งสงบอยู่ในภายใน แต่ว่ารู้ รู้และผ่องใส

อนิมิตเจโตสมาธิในภาวะปรกติธรรมดา

          อาจจะเป็นอนิมิตเจโตสมาธิในขณะที่ยังอยู่เป็นปรกติธรรมดานี้ก็ได้ เช่นว่า ไม่ได้นั่งเข้าที่เข้าทางอะไร ตาก็ลืม หูก็ฟัง จมูก ลิ้น กาย ก็รับ กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ว่า มโน คือใจ นั้นไม่ออก ตั้งสงบอยู่ด้วยความรู้และความปภัสร คือผุดผ่องเท่านั้น อะไรผ่านเข้ามาทางตาก็รู้ก็เห็น เสียงอะไรดังขึ้นก็ได้ยิน เหล่านี้เป็นต้น แต่ว่าจิตรู้แล้วก็แล้วไป เห็นก็แล้วไป ได้ยินก็แล้วไป ไม่ออกมายึด ไม่ออกมากำหนด ไม่ออกมายึด ไม่ออกมากำหนดทั้งในทางที่ก่อกิเลส ก่อโลภะ ก่อโทสะ ก่อโมหะ ทั้งในทางที่เป็นกรรมฐาน เช่น กำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กำหนดธาตุ ๔ เป็นต้น ที่เรียกว่าออกมากำหนดเป็นกรรมฐาน

          ไม่ออกมากำหนดทั้งหมด เห็นอะไรได้ยินอะไร ก็รู้รูป รู้เสียงเป็นต้น ก็แล้วไปเท่านั้นจิตตั้งสงบอยู่ในภายในด้วยความรู้ และด้วยความผ่องใส

นิมิต อนิมิต

          ดั่งนี้แหละคือเป็นตัวอุเบกขาอย่างแท้จริง ในขั้นนี้จิตตั้งสงบอยู่ดั่งนี้ จึงไม่มีนิมิตคือเครื่องกำหนดอะไร เพราะไม่ออกไปกำหนด เมื่อจิตออกไปกำหนดในสิ่งใด สิ่งนั้นจึงเป็นนิมิตขึ้นมา แต่เมื่อจิตไม่ออกไปกำหนดในสิ่งใด สิ่งนั้นก็ไม่เป็นนิมิต

          เพราะฉะนั้นอาการที่จิตตั้งสงบอยู่ภายใน ดั่งนี้เรียกว่าเจโตสมาธิ สมาธิของใจและตั้งสงบอยู่ไม่ออกไปกำหนดอะไร ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางมนะคือใจ ทั้งหมด ตั้งสงบอยู่เฉยๆ อะไรมาก็เห็น อะไรมาก็ได้ยินเห็นหมดได้ยินหมดอย่างธรรมดานี่แหละ แต่ว่าตั้งสงบอยู่เฉยๆ ไม่ออกมากำหนดอันนี้แหละเป็นเป็นตัวเป็นอนิมิต เป็นอนิมิตเจโตสมาธิในความรู้นั้นอาจจะประกอบด้วยไตรลักษณญาณ รู้ในไตรลักษณ์ก็ได้หรือว่าไม่ได้นึกถึงว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อะไร ก็ได้รู้สงบอยู่ภายในเฉยๆ ดั่งนี้เป็นอนิมิตเจโตสมาธิ

          และแม้ได้ในขั้นนี้ซึ่งเป็นสุญญตา ในขั้นปฏิบัติอย่างสูงสุดแต่ก็ยังมีเหลืออยู่ที่กายนี้ อันมีอายตนะทั้ง ๖ และมีชีวิตเป็นปัจจัยอันที่จริงนั้นไม่ใช่เหลืออยู่เพียงกายนี้เท่านั้น ยังมีอวิชชาตัณหาอุปาทานเหลืออยู่ด้วยเหมือนอย่างตัวอย่างที่กล่าวแล้วเมื่อกี้นี้ ใช้เป็นตัวอย่างอันเดียวกันได้ว่าเข้าไปค้นหาใครอะไรในห้องๆหนึ่ง ก็ไม่เห็นอะไร ไม่เห็นใคร ว่างไปทั้งหมดก็รู้สึกว่าว่าง ไม่มีใคร ไม่มีอะไร แต่อันที่จริงนั้นยังมีตัวเราอยู่ซึ่งเป็นผู้เข้าไปค้นนั้น และการค้นนั้นก็เป็นการปฏิบัติ ซึ่งเรียกว่าเป็นสังขาร คือความปรุงแต่ง และเมื่อน้อมเข้ามาว่าจิต ก็เป็นความปรุงแต่งจิตใจ ปรุงแต่งให้เป็นอนิมิตเจโตสมาธิขึ้นเช่นเดียวกับปรุงแต่งในขั้นที่แสดงมาโดยลำดับ เป็นขั้นๆ ขึ้นมา

          เหมือนอย่างการขึ้นบันใดขึ้นมาทีละขั้น ก็ต้องปรุงแต่งการขึ้นๆ มา คือเดินขึ้นมาไม่ปรุงแต่งคือไม่เดิน ก็ขึ้นบันใดมาไม่ได้การจะขึ้นได้ก็ต้องเดิน การเดินนั้นก็เป็นการปรุงแต่ง คือปรุงแต่งการเดินฉันใดก็ดี ในข้อนี้ก็ต้องเป็นการปรุงแต่ง คือการปรุงแต่งการปฏิบัติเพราะฉะนั้น เมื่อยังเป็นการปรุงแต่ง สิ่งใดที่เป็นการปรุงแต่ง สิ่งนั้นก็เป็นอนิจจะคือไม่เที่ยงมีความดับไปเป็นธรรมดา คือเป็นสิ่งเกิดดับ

ความปล่อยวาง

          เพราะฉะนั้น ในขั้นต่อไปจึงตรัสสอนให้หยุดปรุงแต่งดูเข้ามาในภายในเท่านั้น ไม่ปรุงแต่ง หยุดปรุงแต่งเพราะว่าปรุงแต่งขึ้นมาจนถึงขั้นที่สุดแล้ว เหมือนอย่างก้าวขึ้นบันใดมาถึงขั้นที่สุดแล้วก็เป็นอันว่าไม่ต้องก้าวขึ้นต่อไป หยุดก้าว เพราะว่าถึงขั้นที่สุดแล้วเมื่อหยุดปรุงแต่งดั่งนี้ ก็คือความปล่อยวาง

          พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่า ผู้ที่ไม่ปรุงแต่งจิตจึงพ้นจากกามาสวะ อาสวะคือกามภวาสวะ อาสวะคือภพ อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา อาสวะนั้นเป็นกิเลสที่ดองสันดานซึ่งตรัสจำแนกออกเป็นกามคือความรักความใคร่ ความปรารถนาเป็นภพคือความเป็น ตั้งต้นแต่เป็นเรา เป็นของเรา และเป็นนั่นเป็นนี่ต่างๆ เป็นอวิชชาคือความไม่รู้ คือไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริงโดยตรง ก็ในอริยสัจจ์ตามที่ตรัสสั่งสอนเหล่านี้เป็นกิเลสที่ดองสันดานทุกๆ สัตว์บุคคล หรือเรียกว่าสัตว์โลก

          เพราะฉะนั้นการปฏิบัติทางพุทธศาสนาที่จะเสร็จกิจนั้นจึงต้องปฏิบัติให้สิ้นอาสวะดังกล่าวจึงเรียกท่านผู้ที่สิ้นอาสวะว่าพระขีณาสวะ หรือพระขีณาสพ ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว หรือว่าสิ้นอาสวะกิเลสที่ดองสันดาน และเมื่อเป็นดั่งนี้จึงบรรลุถึงนิพพาน ธรรมะหรือธรรมชาติที่ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดทั้งหมด

นิพพาน

          อันนิพพานนั้นมาจากคำว่า นิ ที่แปลว่าไม่มี หรือแปลว่าออกกับ วานะ ที่แปลว่ากิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดกันโดยมาก แต่บางทีก็แปลกันว่าลูกศร วานะคือกิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด หรือลูกศรนี้ เป็นลูกศรที่เสียบจิตใจ ก็คือตัวความรักความใคร่ความปรารถนาบ้าง ความเป็นเราเป็นของเราบ้าง ตัวความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง อันทำให้หลงยึดถือต่างๆ ต่อไปบ้าง เหล่านี้เป็นกิเลสที่เหมือนลูกศรเสียบจิต

          บางทีก็ยกเอามาอันเดียวว่า ลูกศรที่เสียบจิตนี้ คือตัณหาความทะยานอยาก หรือความดิ้นรนทะยานอยาก เพราะว่าเป็นอาการที่กำหนดได้ง่าย จะเป็นกิเลสตัวไหนก็ตาม เมื่อมีอยู่แล้ว เสียบจิตใจอยู่แล้ว ก็ทำให้จิตดิ้นรนทั้งนั้นไม่สงบ น้อยหรือมาก ตัณหาจึงเป็นตัวลูกศรที่เสียบจิตหากยังถอนลูกศรที่เสียบจิตนี้ไม่ได้ ก็พ้นทุกข์ไม่ได้

ตัณหา นันทิ

          แต่บุคคลเรานั้นมักจะไม่ชอบถอนลูกศรที่เสียบจิตตัวนี้ออก ยังเพลิน ยังยินดีเพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่า ตัณหานี้ไปด้วยกันกับนันทิ คือความเพลินมีความยินดียิ่งๆ เพราะฉะนั้นจึงมักชอบที่จะหาตัณหามาเสียบจิตกันอยู่เสมอ มีตัณหาเสียบจิตอยู่แล้ว ก็ไปหามาเสียบจิตเข้าอีก เป็นบุคคลบ้าง เป็นสิ่งของบ้างเป็นอะไรบ้าง ไม่หยุด เมื่อเป็นดั่งนี้จึงพ้นทุกข์ไม่ได้แต่เพิ่มทุกข์ให้มากขึ้น

          ฉะนั้นในทางปฏิบัติที่จะให้ถึงนิพพานนั้นก็คือว่า ปฏิบัติถอนตัณหาที่เสียบจิตนี้ออกนั้นเอง ที่มีอยู่ยังถอนไม่ได้ ก็ไม่หามาเพิ่มเข้าอีก และพยายามถอนที่เสียบอยู่แล้วให้หลุดไปโดยลำดับ ดั่งนี้ ถอนตัณหาที่เสียบจิตออกได้หมดเมื่อไร ก็เป็นนิพพานเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่นิพพานอยู่ที่ไหน นิพพานก็อยู่ที่จิตนี่แหละ ไม่ใช่ที่ไหน มีตัณหาเสียบจิตอยู่ก็ไม่ใช่นิพพาน ถอนตัณหาที่เสียบจิตออกได้แล้วก็เป็นนิพพาน

วิธีที่จะถอนตัณหาเสียบจิต

          พระพุทธเจ้าได้มีพระมหากรุณา ทรงแสดงสั่งสอนวิธีที่จะถอนตัณหาที่เสียบจิตนี้ไว้ด้วยคำสั่งสอนทุกข้อทุกบทที่ทรงสั่งสอน และโดยเฉพาะในข้อสุญญตานี้ได้ทรงสั่งสอนไว้ตั้งแต่ในขั้นต้น ผู้ต้องการปฏิบัติก็ปฏิบัติตามแนวสติ..

          เพราะฉะนั้นก็ต้องหัดกำหนดที่กายเวทนาจิตธรรม นี่แหละว่า

          เป็นป่า ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ผู้คน ก็เป็นการกำหนดที่เรียกว่า อรัญสัญญา กำหนดป่าขึ้นมา แต่เมื่อยังมีกายมีเวทนาจิตธรรมอยู่ก็ง่ายที่จะน้อมน้าวจิตไปเป็นบ้าน เป็นผู้เป็นคนกำหนดอีกทีหนึ่งก็

          ปฐวีสัญญา กำหนดให้เป็นแผ่นดินขึ้นมา เรียบราบเป็นหน้ากลองไม่มีภูเขา ต้นไม้ ห้วยหนองคลองบึง ไม่มีกาย ไม่มีเวทนา ไม่มีจิต ไม่มีธรรม เป็นธรรมชาติธรรมดา หรือเป็นธาตุไปทั้งหมด

          ขั้นนี้ก็สูงขึ้นมาไกลกิเลสอีกและต่อจากนี้ก็ตรัสสอนให้กำหนดเพิกแผ่นดินออกเสียทั้งหมด เป็นอากาศคือเป็นช่องว่างไปทั้งหมด

          ขึ้นไปสูงขึ้นไปก็น้อมเข้ามาว่าเป็นวิญญาณคือตัวรู้ไปทั้งหมด

          สูงขึ้นไปอีก ก็กำหนดว่าในช่องว่างและในตัวรู้ที่แผ่ไปในช่องว่างนั้นน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มี

          สูงขึ้นไปอีกก็กำหนดดูว่าความที่กำหนดดั่งนั้น เป็นสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่เป็นสัญญาก็ไม่ใช่ ละเอียดมาก

          อีกทีหนึ่งก็ อนิมิตเจโตสมาธิ จิตรวมเข้ามาสงบตั้งอยู่ภายใน ประกอบด้วยธาตุของจิต ๒ อย่างคือธาตุรู้ และธาตุที่ปภัสรคือผุดผ่อง รู้อะไรได้ยินอะไรเป็นต้นก็ไม่กำหนด จึงเป็น อนิมิตะ อีกขั้นหนึ่งก็คือว่าทั้งหมดนั้นก็ยังเป็นสังขารคือความปรุงแต่ง ยังต้องปรุงจิตปรุงใจเพราะฉะนั้น ก็ไม่ยึดถือ วางความปรุงแต่ง

ความว่างที่เป็นปรมุตระ

          ตอนนี้เองที่จิตพ้นได้จากอาสวะกิเลสที่ดองสันดานทั้งหลาย ถอนตัณหาออกจากจิตใจได้ ถอนได้เมื่อไรก็เป็นนิพพานสิ้นทุกข์กันเมื่อนั้น จึงได้ตรัสว่าในข้อท้ายนี้เป็นสุญญตาคือความว่างที่เป็น ปรมุตระ ปรมะ ก็คือบรม อย่างยิ่ง อนุตระ ก็คือว่าไม่มีสุญญตาอื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่า

          เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีกายนี้ซึ่งมีอายตนะ ๖ อยู่เท่านั้น แต่ไม่มีกิเลสดองสันดานก็ทะนุบำรุงร่างกายนี้ไปจนกว่าจะนิพพาน คือดับขันธ์ในที่สุด นี้เป็นความที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ในพระสูตรที่ว่าสุญญตานี้ ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ
ที่มา : พระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตา