พระพุทธเจ้าท่านสอนบอกว่า จิตนั้นเดิมมันผ่องใสประภัสสร แต่เศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมาเป็นคราวๆ พอมีผัสสะนะ กิเลสก็ขึ้นมาเป็นคราวๆ พอมันไม่มีการกระทบอารมณ์ที่แรงนะ แล้วมันก็ตกตะกอนเก็บลงภวังคจิตไว้นี้
พวกฤาษีชีไพร เขาก็พยายามฝึกจิต ๒ แบบ อันนึง ฝึกไม่ให้กระทบอารมณ์ อีกอันนึง ฝึกกระทบอารมณ์แล้วไม่ให้กระเทือน
ไม่ให้กระทบอารมณ์เลยนี่ ก็ต้องฝึกเข้า
รูปฌานชนิดนึงนะ แล้วก็ จนกระทั่งจิตนี้ดับ เหลือแต่ร่างกายไม่มีจิต เรียกอสัญญี/อสัญญสัตตา หรือพรหมลูกฟัก ที่ไปฝึกสมาธิกันแล้ววูบ หมดความรู้สึกตัว ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า เวลาหมดความรู้สึกตัวไป มันก็ไม่มีการกระทบอารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เหมือนกับว่าไม่มีตะกอนขึ้นมา ก็นึกว่าตรงนี้บริสุทธิ์ ที่จริงมันไม่กระทบอารมณ์ มันเลยไม่กระเทือน กิเลสมันเลยไม่โผล่ให้ดู
อีกแบบนึงของการ
เลี่ยงการกระทบอารมณ์นะ ก็คือเข้าฌาน ที่เรียกว่า
อรูปฌาน ตัดความรับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ออกไป เหลือแต่ความรับรู้ทางใจอันเดียว แล้วก็ความรับรู้ทางใจนั้น ก็เพ่งอยู่ในความว่าง ในช่องว่าง เพ่งอยู่ที่จิต เพ่งความไม่มีอะไรเลย แล้วก็ปล่อยให้สัญญานี้อ่อนตัว เคลิ้ม เกือบจะหมดความรู้สึก เรียกว่าอรูปฌาน ตรงที่เป็นอรูปฌานเนี่ย แล้วก็ตรงที่เลี่ยงการกระทบอารมณ์เนี่ย มันเป็นความปรุงแต่งอย่างนึง เรียกว่า อาเนญชาภิสังขาร(ปรุงแต่งความว่าง)
ความปรุงแต่งที่อวิชชาพาแต่งเนี่ยมี ๓ อย่าง
๑) มีปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่ง
ฝ่ายดี
๒) อปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่ง
ฝ่ายที่ไม่ดี
๓) อาเนญชาภิสังขาร ปรุงแต่ง
ความว่างๆ ว่างแบบไม่มีอะไรเหลือเลย กับเหลือแต่จิตดวงเดียว ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ออกมากระทบอะไรข้างนอก ไม่ค่อยกระเทือน กระเทือนน้อย ถ้าเป็นพรหมลูกฟักก็ไม่กระเทือนเลย เพราะว่าไม่มีจิต อันนี้เป็นกลุ่มที่หนีการกระทบอารมณ์
หรืออย่างพวกเรานักปฏิบัติ เข้าฌานอะไรกับเขาไม่เป็น บางทีเราก็หนีการกระทบอารมณ์ ร่างกายจะแสดงความทุกข์ให้ดูก็ไม่ยอมดูมัน ทำให้ใจลอยๆไป ลืมเนื้อลืมตัวทั้งวัน หลีกเลี่ยงทำเป็นไม่รับรู้ แต่ว่าจริงๆแล้วกระทบ ใจก็สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ดีบ้าง ร้ายบ้าง กระเทือน ไม่ใช่ไม่กระเทือน ถึงจะแกล้งหนีอารมณ์นะ ก็หนีไม่ได้หรอก
วิธีหนี(อารมณ์) มีสองอันเท่านั้น ไม่ไปเป็นพรหมลูกฟัก ก็เป็นอรูปพรหม นอกนั้นหนี (อารมณ์)ไม่ได้มันแค่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ว่ามันรู้
นี้อีกพวกหนึ่ง พวกหนึ่งหนีการกระทบอารมณ์นะ ด้วยการเป็นพรหมลูกฟัก กับด้วยการเข้าอรูป อีกพวกนึงคอยควบคุมจิตไว้ เมื่อกระทบอารมณ์แล้วไม่ยอมให้มันกระเทือนอันเนี้ย พวกเราทำเก่ง
นักปฏิบัติเกือบทั้งหมดเลยของนักปฏิบัติจะทำแบบเนี้ย คือ เพ่งจิตให้นิ่งๆไว้ เพ่ง บางทีเพ่งทั้งตัวนะ เอาจิตมาไว้ข้างบนนี่ แล้วจ้องมันทั้งตัวเลย ขยับซ้ายขยับขวามันรู้หมดเลย แต่ใจนี่จะนิ่งๆ ใจจะแข็งๆ ทื่อๆ ใครที่ภาวนา แล้วใจแข็งๆบ้าง แน่นๆ ทื่อๆ ยกมือซิ มีมากกว่านี้ .. มีอีก อย่ามาทำเป็นว่าไม่มี นี่ก็เป็นอยู่ กำลังเป็นอยู่ เนี่ย ใจไม่เป็นธรรมชาติ งั้นกระทบอะไรก็เฉยๆ แล้วก็นึกว่าอย่างนี้ดี เพราะว่า ไม่เห็นกิเลสเลย
มันหลีกเลี่ยงการกระทบอารมณ์ไม่ได้นะ เพราะเราเข้าอสัญญีไม่เป็น/เข้าพรหมลูกฟักไม่เป็น กับเข้าอรูปไม่เป็น ก็กระทบ พอกระทบแล้วก็คุมจิตไว้ไม่ให้กระเทือน ทำจิตให้นิ่ง ทำจิตให้ว่าง จิตก็แข็งๆ ทื่อๆ ซึมๆ แน่นๆ อะไรอย่างนี้ นักปฏิบัติเกือบร้อยละร้อยเป็นแบบนั้น รวมทั้งพวกเราด้วยนะ เกือบทั้งหมดแหละที่ลงมือปฏิบัติ ใจจะผิดธรรมชาติ ใจจะนิ่งๆกว่าความเป็นจริง เพราะอะไร ? เพราะกลัวว่าถ้าไม่ควบคุมเอาไว้แล้วเวลามีอะไรกระทบนะ ใจจะเตลิดเปิดเปิงฟุ้งซ่านมาก ก็เลยพยายามควบคุมตัวเอง อย่างหนุ่มผู้นี้ รู้สึกมั้ย ใจมันนิ่งๆ เราก็ยังบังคับอยู่ ขณะนี้บังคับอยู่ แต่มันบังคับจนชำนาญ มันดูไม่ออกว่าบังคับอยู่เนี่ย รู้สึกมั้ย ใจขณะนี้ไม่เป็นธรรมชาติ มันนิ่งๆอยู่
.
วิธีดูนะว่าเราไปบังคับจิต ไม่ให้กระเทือนเวลากระทบอารมณ์รึเปล่าเนี่ย ดู ดูจิตใจของเราเอง
ถ้าใจมันหนัก ใจมันแน่น ใจมันแข็ง ใจมันซึม ใจมันทื่อ ใจมันไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ได้ทั้งวัน แสดงว่าบังคับไว้ ควบคุมไว้ไม่ให้กระเทือน คนชมก็เฉย คนด่าก็เฉย เนี่ย ทำใจ เนี่ยทำอย่างนี้ เนี่ย ใครว่าอะไรก็เฉย ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เสียงยังเปลี่ยนเลย รู้สึกมั้ย เสียงยังเปลี่ยนเลย เสียงสุภาพนุ่มนวล นี่ถอยออกมาแล้วเสียงไม่เหมือนกัน รู้สึกมั้ย พวกเราลองทำใจขรึมๆสิ แล้วลองพูด ลองฟังเสียงตัวเองดู ไม่เหมือนเดิมหรอก มันจะนิ่งๆ นิ่งๆ ใช้ไม่ได้
มันผิดธรรมชาติ มันผิดธรรมดา โยนมันทิ้งไป รู้สึกตัวให้เป็นธรรมชาติ ถ้าเราไม่สามารถปล่อยให้มีการกระทบอารมณ์ ปล่อยให้จิตกระเทือน แล้วมีสติตามรู้ เราปฏิบัติไม่ได้จริง
คนส่วนใหญ่เนี่ย ไม่ห้ามการกระทบ เพราะห้ามไม่เป็น พอกระทบแล้วกระเทือน เพราะคุมไม่เป็น อันนั้นดีนะ คนธรรมดานั่นแหละ หรือหมาแมว อะไรอย่างนี้ดี กระทบอารมณ์แล้วพอใจไม่พอใจนะ มันผุดขึ้นมาเลย มันไม่ได้ควบคุมเอาไว้ แต่มันไม่ดีอย่างเดียว คือมันไม่มีสติ
.
นี้พอพวกเราอยากมีสตินะ เราก็ไปควบคุมจิตเอาไว้ กระทบอารมณ์แล้วก็เฉย ซื่อบื้อไปเรื่อย เนี่ย อย่างชุดขาวอย่างนี้ ชอบควบคุม แต่เมื่อกี้นี้ไม่ได้ควบคุม เมื่อกี้นั้นเคลิบเคลิ้ม ขาดสติ อย่างขณะนี้ควบคุมจิตแล้ว จิตจะแน่นๆ เวลาจิตแน่นๆนะ หน้าตามันก็ฟ้องนะ หน้าตามันผิดมนุษย์ธรรมดา มันเครียดๆ
งั้นสังเกตดูพวกผู้ปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วเครียดๆ ถ้าเราเป็นแบบนั้นนะ สำนึกไว้เลยว่า จะต้องมีการแทรกแซงจิตต้องมีแน่นอน บังคับจิต กระทบอารมณ์แล้วจะต้องเฉย อย่างบางสำนักก็สอนกันนะ สอนให้ดูจิตน่ะ แต่พอจิตคิด จิตนึก จิตปรุง จิตแต่งปัดทิ้งให้หมดเลย ไม่ให้คิด ไม่ให้นึก ไม่ให้ปรุง ไม่ให้แต่ง เพื่อจะได้ว่าง จิตไม่รู้อารมณ์ภายนอกเลยนะ อารมณ์ภายนอกมาแล้วปัดทิ้งหมดเลย ไม่สนใจอารมณ์ภายนอก แล้วก็รักษาจิตให้นิ่งให้ว่าง คิดว่านี่เป็นทาง นี่ไม่ใช่ทาง จิตจะไม่เกิดปัญญาเลย มันจะสงบอยู่เฉยๆ มีความสุขอยู่เฉยๆ ก็โง่อยู่เฉยๆ อย่างนั้นแหละ คล้ายๆ ตุ่มน้ำที่รองเอาไว้ ตะกอนไปซ่อนอยู่ข้างล่าง ประคองอย่างดีเลยนะ ไม่ให้มีอะไรมากระทบตุ่มนี้ ฝาก็ปิดไม่ให้ลมถูก น้ำไม่ขึ้นกระเพื่อมเลย ตะกอนไม่ขึ้นมาเลยเนี่ย พวกรักษาจิตให้นิ่งให้ว่าง ก็จะเป็นแบบนั้น แล้วก็บอกว่าตรงนี้แหละไม่มีกิเลส ความจริงกิเลสซ่อนอยู่ไม่เห็น งั้นวิธิที่ดีที่สุดเนี่ย ไม่ใช่หลีกเลี่ยงการกระทบอารมณ์ ไม่ใช่ว่าเมื่อกระทบอารมณ์แล้วรักษาจิตให้นิ่งให้ว่าง
ให้มันกระทบไป กระทบแล้วจิตสะเทือนขึ้นมาให้มันสะเทือนไป กิเลสมันก็จะสะเทือนขึ้นมา เราจะมีสติ มีใจตั้งมั่นเป็นคนดู เราจะไม่ลงไปอยู่ในตุ่มน้ำ เราไปอยู่นอกตุ่ม เป็นคนดู จะเห็นตะกอนลอยขึ้นมา มีสติระลึกรู้ว่า เนี่ย จิตยังสกปรกอยู่ไม่ได้สะอาดจริงหรอก
นี้ธรรมชาติของจิตเนี่ย พอเรามีสติรู้ทันนะ
จิตมันเป็นกุศล อกุศลมันจะสลายตัวไป มันสลายได้ ๒ แบบ
แบบที่หนึ่ง สลายไปเพราะเรา
มีสติ ก็คล้ายๆ มันจะตกตะกอนใหม่ลงไปซ่อนอยู่ เพราะฉะนั้น เวลากิเลสเกิดแล้วเราไปจ้องกิเลสนะ กิเลสหดลงไปซ่อนอย่างเดิม ไม่มีอะไรดีขึ้น แค่ไม่อาละวาดเท่านั้นแหละโมโหขึ้นมา รู้ว่ากำลังโกรธนะ จ้องอยู่ที่ความโกรธเนี่ย จ้องนิ่งๆ เพ่งอยู่อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวความโกรธก็ตกตะกอนอันนี้ก็ไม่ดีนะ ยังไม่ดี
อีกวิธินึงที่จะจัดการกับตะกอนนี้ คือ
ปัญญา ปัญญาเนี่ยมันเหมือนสวิงนะ รู้จักสวิงมั้ย สวิงที่ใช้ช้อนตักปลา ตักลูกน้ำ อย่างนั้นน่ะ ตะกอนลอยขึ้นมา เราก็ตัก ตักๆไปเรื่อยเจริญวิปัสสนาไป
ถ้าเราใช้วิธีตะกอนพุ่งขึ้นมา แล้วเราก็จ้อง เพ่ง นิ่งๆนะ คือการตัดไม่ให้กระทบอารมณ์ใหม่ อารมณ์เก่าก็หมดพลัง ตะกอนก็ตกลงไปเดี๋ยวถ้ากระทบใหม่ คุมไม่ทันก็ขึ้นมาฟุ้งอีก ส่วนการที่ช้อนตะกอนออกเนี่ย คือ
การทำวิปัสสนาเรียนรู้ความจริงของรูปนาม/กายใจไป มีจิตตั้งมั่นเป็นคนดู มีสติระลึกรู้ว่ามีอะไรแปลกปลอมขึ้นมาในจิต แล้วก็พิจารณาลงไป เห็นลงไป สิ่งที่แปลกปลอมขึ้นมาเนี่ย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตที่เป็นคนไปรู้ ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เหมือนกันกายนี้ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเดินวิปัสสนาไป การเดินวิปัสสนาเนี่ยมันล้างกิเลสได้จริง มันจะล้างด้วยปัญญา
ถ้าเราล้างด้วยสติ ด้วยการเพ่ง ด้วยการจ้อง นั้นน่ะเป็นสมถะ มันจะข่มกิเลสไว้ชั่วคราว กิเลสจะตกตะกอนอยู่ชั่วคราวเดี๋ยวก็ขึ้นใหม่ งั้นเราต้องเดินวิปัสสนา มีสติรู้กาย มีสติรู้ใจ ตามความเป็นจริงคือเห็นไตรลักษณ์
เราจะมีสติรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริงได้เราต้องมีจิตตั้งมั่น และเป็นกลาง
จิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง คือจิตที่ไม่เผลอ กับจิตที่ไม่เพ่ง ถ้าเพ่งแน่นๆอยู่อย่างนี้ ใช้ไม่ได้ จิตที่ไม่เผลอ กับจิตที่ไม่เพ่ง มันจะตั้งมั่น แล้วก็เป็นกลาง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช