Recent Posts

อารมณ์ทั้งหลายเป็นเพียงมโนภาพของจิต


อารมณ์ทั้งหลายเป็นเพียงมโนภาพของจิต

          เป็นถ้อยคำที่รู้สึกสะดุดใจ และน่าใคร่ครวญเป็นอย่างยิ่ง อารมณ์เป็นแค่เพียงมโนภาพของจิตเท่านั้นหรือ? เวลาที่เรากำลังมีอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นรัก โกรธ เกลียด กลัว เรามักจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นแค่มโนภาพ แต่มันเป็นความรู้สึกที่แท้จริงที่กำลังเกิดขึ้น และคุกรุ่นอยู่ภายในใจของเรา ทำให้เรารู้สึกร้อนใจปานไฟเผา รู้สึกอึดอัดขัดข้อง หม่นหมอง หรือรู้สึกปิติอิ่มเอมใจจนแทบจะตัวลอย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกในใจของเราจริงๆทั้งนั้น แล้วพระท่านกล่าวว่ามันเป็นแค่เพียงมโนภาพ มันจะเป็นไปได้อย่างไร หลายคนคงอดตั้งคำถามไม่ได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ถ้อยคำดังกล่าว น่าสนใจ น่าศึกษามากยิ่งขึ้นไปอีก

        โดยทั่วไปเรามักจะคุ้นเคยกับคำว่าอารมณ์ ที่ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Mood หรือ Emotion  ซึ่งหมายถึง อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตใจของเราทั่วๆไป คนทุกคนหรือชีวิตทุกชีวิต ก็ล้วนแล้วแต่ มีและเต็มไปด้วยอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์รัก ชอบ เกลียด ชัง โศกเศร้า เหงาหงอย บึ้งตึง ขึ้งโกรธ เครียด อาลัยอาวรณ์ วิตกกังวล อิจฉา ริษยา อาฆาต บาดหมาง คลางแคลงใจ หึง หวง ห่วงหา อารมณ์ต่างๆนานามากมาย หลากหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีระดับความรุนแรงและอิทธิพลต่อจิตใจของเราแตกต่างกันไป ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายกันมาก เพราะเราทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ต่างก็เคยประสบกับตัวเองมาด้วยกันทั้งนั้น และอาจกล่าวได้ว่าชีวิตของคนที่วุ่นวายอยู่ในโลกทุกวันนี้ หรือโลกทั้งโลกเวลานี้ ต่างก็ถูกครอบงำ ยึดครอง ผลักดัน อยู่ด้วยอิทธิพลของอารมณ์เหล่านี้นี่เอง

        ท่านพุทธทาสภิกขุ กล่าวไว้ว่า โลกก็คืออารมณ์ อารมณ์ก็คือโลก เพราะเราทุกคนต่างก็รู้จักโลกนี้ได้ โดยการเรียนรู้โลกจากการสัมผัส โดยใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ธัมมารมณ์ (สัมผัสทางใจ) แต่การที่โลกนี้มันจะมีความหมายต่อเราหรือไม่ แค่ไหน อย่างไร มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราให้ความหมาย หรือคุณค่ากับผัสสะ หรือสิ่งที่เราสัมผัสแค่ไหน อย่างไร ถ้าเรารู้จักสิ่งที่มาสัมผัสนั้นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง มันก็จะไม่มีอิทธิพลครอบงำจิตใจของเรามากนัก แต่ถ้าเราไม่รู้จักมันดี หรือรู้จักอย่างไม่ถูกต้อง เราก็จะถูกอารมณ์ของโลกครอบงำเอาได้ ดังนั้นเรามาทำความรู้รักกับอารมณ์กันดีกว่า

          ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้อธิบายความหมายของอารมณ์ ในทางพุทธศาสนาไว้ว่า โดยรากศัพท์แล้ว อารมณ์* คือ สิ่งที่จิตเข้าไปถือเอา หรือเป็นที่หน่วงเอาของจิต สิ่งใดเป็นที่หน่วงเอาของจิต สิ่งนั้นเรียกว่าอารมณ์ กล่าวอีกอย่างหนึ่ง อารมณ์ คือสิ่งที่เข้ามาหาจิต เพื่อให้จิตของเราตะครุบเอา คนทั้งหลายต่างก็ต้องการ หรืออยากได้อารมณ์ 6 คือ  รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ธัมมารมณ์ (สัมผัสทางใจ) ที่น่ารัก น่ายินดีพอใจด้วยกันทั้งนั้น และต้องการที่จะแสวงหา อารมณ์ที่สูงขึ้น แพงขึ้น อร่อยยิ่งๆขึ้นไป เหมือนกันหมดทั้งโลก ต่างคนต่างก็แสวงหา เมื่อได้มาแล้วก็ยินดี รู้สึกเอร็ดอร่อยกับสิ่งที่ได้มานั้น แล้วก็ถูกอารมณ์บังคับ และปรุงแต่ง ให้แสวงหา และทำอะไรต่อไปอีกไม่รู้จักจบ เราจึงตกเป็นทาสของอารมณ์ อย่างไม่รู้จักจบ โลกทั้งโลกก็คืออารมณ์ อารมณ์ก็คือโลก ดังนั้นท่านจึงกล่าวว่าควรทำความรู้จักกับอารมณ์ให้ดีๆ

        ท่านกล่าวว่า การที่เราต้องตกเป็นทาสของอารมณ์ โดยสรุปแล้ว ก็เพราะเราไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ไม่รู้จักว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น มันคือธาตุตามธรรมชาติ คือสภาวธรรม ที่มีกฎธรรมชาติควบคุมอยู่ ให้ต้องเกิดขึ้น และเป็นไป หรือดำเนินไปตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น เราจะฝืนให้เป็นไปตามความรัก ความพอใจ หรือความต้องการของเราเองนั้นไม่ได้ ถ้าเราฝืนกฎของธรรมชาติ เราก็ต้องได้รับความทุกข์ ความผิดหวัง ความเสียใจ ตามมาเป็นธรรมดา เพราะธรรมชาติมีกฎเกณฑ์ของตัวเอง ที่ไม่ฟังความต้องการของใครๆ ถ้าเราไม่ต้องการที่จะเป็นทุกข์ เราก็มีหน้าที่่ที่จะต้องศึกษา ให้เข้าใจในตัวธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ และหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ แล้วเราจึงจะได้รับผลที่น่าชื่นใจ จากการปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติตามมา

         อารมณ์ก็เช่นกัน เป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้น จากกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่เรียกว่า กฎอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาโท หรือเรียกสั้นๆว่า ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติว่าด้วยการเกิดขึ้น และดับลง ของกระแสการปรุงแต่งภายในจิตใจของคนเรา กระแสการปรุงแต่ง(สังขาร)นี้ เกิดขึ้นโดยอาศัยสิ่งที่เป็นเหตุ ก่อให้เกิดสิ่งที่เป็นผลตามมา และสิ่งที่เป็นผลนั้นก็กลายเป็นเหตุปัจจัย ที่จะปรุงแต่งเพื่อให้เกิดผลอื่นๆตามออกมาอีกเรื่อยๆ วนเวียนอยู่เช่นนนี้ไม่มีวันจบสิ้น* ซึ่งท่านพุทธทาสกล่าวว่า กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท และขันธ์ 5 ตั้งต้นที่อารมณ์ทั้งนั้น ถ้าไม่มีอารมณ์ก็ไม่มี ขันธ์ 5 ที่เป็นอุปาทานขันธ์ และกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทก็จะไม่เกิดขึ้นเช่นกัน

         ท่านยังกล่าวว่า อารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นจาก การที่อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ธัมมารมณ์ (สัมผัสทางใจ) สัมผัสกันหรือกระทบกัน  เกิดวิญญาณ*ขึ้นมารับรู้สัมผัสนั้น อายตนะภายนอกเป็นอารมณ์ของอายตนะภายใน เกิดวิญญารรู้สึกต่ออารมณ์นั้นๆเรียกว่าผัสสะ (รูปขันธ์แลัวิญญาณขันธ์เกิดขึ้นแล้ว) ผัสสะแล้วเป็นเวทนา(เป็นเวทนาขันธ์) แล้วสำคัญมั่นหมายต่อเวทนานั้น (เป็นสัญญาขันธ์) ตกอยู่ในอำนาจของสัญญาขันธ์  ก็เป็นสังขารขันธ์ คิดนึกๆๆ จนเกิดการกระทำขึ้นมา

        ดังนั้นอารมณ์จึงเกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ด้วย และเกี่ยวข้องกับปฏิจจสมุปบาท ก็คือ เมื่อมันเกิดผัสสะ ก็เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ จนเกิดทุกข์ทั้งปวงขึ้น ก็เริ่มต้นที่อารมณ์เช่นเดียวกัน ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ถ้ารู้เรื่องอารมณ์ อย่างถูกต้อง ครบถ้วน แท้จริง ก็จะง่ายในการควบคุมขันธ์ทั้ง 5 ไม่ให้เป็นอุปาทานขันธ์แล้วเกิดทุกข์ และจะง่ายในการควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ไม่ให้มันปรุงแต่งจนไหลไปเป็นทุกข์

        โดยธรรมชาติของอารมณ์ อารมณ์ทั้งหลายไม่ใช่ของจริง เป็นมายา เป็นเพียงมโนภาพที่จิตสร้างขึ้นมา, เป็นภาพที่จิตสร้างขึ้นมา, หรือภาพที่จิตได้กระทำขึ้น, เป็นสิ่งที่ถูก imagine ขึ้นมาเป็นมโนภาพ (imagination) กล่าวคือ ตามธรรมดาเมื่ออายตนะภายใน กระทบกับอายตนะภายนอก มันก็เป็นเพียงวัตถุต่อวัตถุ หรือธาตุต่อธาตุกระทบกัน ถ้าเป็นไปตามธรรมชาติ อยู่ตามธรรมชาติ ในจักรวาล เป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ เป็นเพียงก้อนแข็งๆ ไม่ว่าจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส อะไรก็ตาม ถ้าเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ เป็นวัตถุ จะเข้าไปในจิต เข้าไปมีอิทธิพลต่อจิตใจของเราไม่ได้

        ต่อเมื่อจิตมันให้คุณค่า หรือยึดถือเอาความหมายอะไรบางอย่างของวัตถุธาตุนั้น จิตมันก็จะสร้างเป็นภาพความหมายนั้นขึ้นมา  (imagine) หรือสร้างมโนภาพสิ่งนั้นขึ้นมาภายในจิตใจเอง มันจึงสามารถจะซึมแทรกเข้าไปในจิตใจได้ ไม่ว่าจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ล้วนแต่มีความหมาย เรียกว่าคุณค่า หรือคุณสมบัติของมัน แล้วก็มีอัสสาทะ หรือรสอร่อยตามแบบของมัน ซึ่งมันสร้างความหมายขึ้นมา ก็กลายเป็นนามธรรม หรือเรื่องทางจิต ถ้าเราไม่ไปให้คุณค่า หรือไม่ไปทำให้มีความหมายทางจิตใจ หรือนามธรรม คือไม่ไป  imagine แล้ว สิ่งเหล่านั้นจะเข้ามาทำอะไรเราไม่ได้

        เมื่อมีการกระทบของอายตนะภายใน กับอายตนะภายนอกแล้ว มันไม่ได้สัมผัสเฉยๆ แต่มันถือเอาความหมายด้วย มันจึงเกิดความหมายของรูป เสียง กลิ่น รส ในความหมายของนามธรรม แล้วก็มีส้ัญญา สำคัญมั่นหมายลงไปที่สิ่งนั้น แล้วสัญญานั้นก็จะสร้างสิ่งที่เรียกว่ามโนภาพ(imagination object) ขึ้นมาครอบงำจิต

        สัญญา ในภาษาบาลีนั้น ไม่ใช่มีความหมายเพียงความจำเท่านั้น แต่หมายถึงความสำคัญมั่นหมายว่า สุข-ทุกข์, หญิง-ชาย, ผัว-เมีย, แพ้-ชนะ แล้วแต่มันจะทำสัญญาลงไปในสิ่งที่มันสัญญานั้น มันมั่นหมายว่าเป็นอย่างไร มันก็คือการทำสัญญาลงไปในสิ่งนั้น ให้กลายเป็นนามธรรมขึ้นมา เป็นเรื่องฝ่ายจิตใจขึ้นมา โดยวิธีสร้างมโนภาพให้แก่อารมณ์ทุกชนิด ที่เข้ามาเกี่ยวข้องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง มันจึงสร้างสิ่งใหม่ พร้อมที่จะเข้าไปครอบงำจิตด้วยอำนาจของอวิชชาที่มีอยู่ตลอดเวลา เป็นรูปอะไรขึ้นมา อวิชชาก็สร้างมโนภาพ เสียง กลิ่น รส อะไรขึ้นมา ก็สร้างมโนภาพ และมันก็จะเกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา เรียกโดยภาษาบาลีว่า นันทิราคะ ซึ่งมีอิทธิพลเหลือประมาณ นันทิราคะนี้เกิดได้ในวัตถุล้วนๆ เช่น แก้ว แหวน เงินทอง แม้ไม่เกี่ยวข้องกับเรืองกามารมณ์ หรือเรื่องเพศ คือว่ามันพอใจ ยินดีด้วยความเพลิน นันทิ แปลว่า เพลิน ราคะ แปลว่าความกำหนัดยินดี นันทิราคะ จึงหมายถึงความกำหนัดยินดีด้วยอำนาจแห่งความเพลิน พอเราไม่รู้เท่าทัน อารมณ์ถูกสร้างขึ้นมาเป็นมโนภาพครอบงำจิตใจ จิตก็มีนันทิราคะ(ซึ่งก็คืออุปาทาน ซึ่งทำให้เกิดทุกข์)

        โดยท่านยกตัวอย่างว่า ชายหนุ่มคนหนึ่ง ไปหลงรักหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวคนนั้นจะเข้าไปอยู่ในจิตใจของชายหนุ่มคนนั้นทั้งตัว แบบรูปธรรมไม่ได้ ต้องให้จิต imagine ความหมายของความเป็นหญิงขึ้นมาโดยทำให้เป็นเรื่องนามธรรมก่อน เมื่อจิตสร้างมโนภาพว่าสิ่งที่ตาเห็นนี้ คือผู้หญิงและสวย(ให้คุณค่า และความหมาย) สาวคนนี้ก็กลายเป็นหญิง-สวยในใจของชายหนุ่ม และกลายเป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม เมื่อเป็นนามธรรม หญิงสาวคนนั้นก็เข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของชายหนุ่มได้อย่างเต็มที่ (เกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ทุกข์ ตามสายของปฏิจจสมุปบาท-ผู้เขียน)

        ท่านว่าเราจึงโง่ ถูกหลอกลวงด้วยมโนภาพอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงต้องระวังเรื่องอารมณ์ให้ดีๆ เพราะมันมีฤทธิ์เดชมหาศาลที่จะครอบงำ มันคือตัวโลกทั้งโลก เราอยู่ในโลกของความฝันที่เป็นมายา หลอกลวง โดยจิตที่โง่ โลกทั้งโลกเป็นมายาหลอกลวง แก่ผู้ที่ไม่รู้ความจริงข้อนี้ ทั้งสัตว์ ต้นไม้ มนุษย์ เทวดา ล้วนตกอยู่ในโลกแห่งความหลอกลวง โลกทั้งโลก และจักรวาลใหญ่มหึมานี้ ถ้าถูกกระทำให้เป็นมโนภาพได้สำเร็จ ทั้งโลกนี้จะเข้าไปอยู่ในจิตใจได้สบายเลย ทั้งที่ถ้ามันเป็นรูปธรรม กรวด ก้อนอิฐ หรือเม็ดทรายสักเม็ด ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ถ้าจะพ้นจากปัญหาเหล่านี้ ก็ต้องรู้ความจริงข้อนี้ ไม่เป็นทาสของอายตนะ ไม่ถูกหลอกลวงโดยโลกอันเป็นมายา

         ทางแก้ก็คือ ต้องเข้าใจในกฎธรรมชาติเรื่องนี้ แล้วฝึกอานาปานสติ จนจิตมีสมรรถภาพในการควบคุมกระแสการปรุงแต่งของจิตนี้

        การฝึกอานาปานสติ จะทำให้เรามี สติ สัมปชัญญะ สมาธิ และปัญญามากพอที่จะเท่าทันการเกิดขึ้นของอารมณ์ และสามารถควบคุมอารมณ์ไม่ให้ปรุงแต่งเป็นเวทนา ตัณหา อุปาทาน จนเป็นทุกข์ขึ้นมาได้.

--------------------------------

*สรุปและเรียบเรียงจาก ธรรมบรรยายเรื่อง"อารมณ์ทั้งหลายเป็นเพียงมโนภาพของจิต" โดยท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุรษฎร์ธานี (ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด ขอน้อมรับคำชี้แนะจากทุกท่านด้วยความเคารพ)
*ท่านกล่าวว่า ความหมายดังกล่าวของอารมณ์ จะไม่เหมือนกับความหมายที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป ที่ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า mood หรือ emotion แต่ควรจะใช้คำว่า object ซึ่งมันก็คือทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่เราสัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราเอง
*วัฏฏจักรการเกิดขึ้นของกระแสการปรุงแต่งแห่งอารมณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ เราจะศึกษารายละเอียดเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ กันในภายหลัง หรือศึกษาได้จากหนังสือธรรมโฆษณ์ของท่านพุทธทาสภิกขุ จัดพิมพ์โดยธรรมทานมูลนิธิ แห่งสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุรษฎร์ธานี
*วิญญาณ ในความหมายของท่านพุทธทาส ไม่ใช่วิญญาณที่เป็นผี หรือสิ่งที่เข้าๆออกๆในร่างกายได้ แบบที่เราเคยรู้กันมาในตอนเด็กๆ แต่วิญญาณในที่นี้คือมโนธาตุ ที่ทำหน้าที่ในการรับรู้การสัมผัสต่างๆที่มากระทบกับอายตนะภายใน*ท่านได้ยกตัวอย่างกระบวนการสร้างมโนภาพของจิตในส่วนที่เกี่ยวกับสัมผัสทางกายอย่างละเอียด สนใจฟังธรรมบรรยายทั้งหมดติดต่อธรรมทานมูลนิธิ