ถ้ายัง
จ้องแต่ลมหายใจ ถ้ายังทุ่มลมหายใจ กดทับความฟุ้งซ่าน ถ้ายังจม
ทุกข์อยู่กับการฝืนรู้ลมหายใจ อย่างนั้น
ยังไม่ใช่อานาปานสติ ยังไม่รู้ทางทำอานาปานสติ ท้ายที่สุดเราจะอัดอั้น วกวนอยู่กับ ‘ตัวเราผู้หายใจไม่ถูก’ ร่ำไป
ความยากเย็นที่สุดของอานาปานสติ ไม่ใช่หายใจอย่างไรให้เป็นสมาธิ แต่อยู่ที่การทำความเข้าใจให้ถูกว่าจะหายใจอย่างไรให้ไม่มีเราเริ่มขึ้นมา
แค่ท่องไว้ง่ายๆว่า
อานาปานสติ คือการหายใจแบบไม่มีเรา เพียงระลึกได้เช่นนี้ก่อนฝึกทุกครั้ง ความหนักทึบของอัตตาจะเบาลงครึ่งหนึ่งทันที
เมื่อหายใจอย่างไม่มีเรา กายจะเป็นผู้แสดงอย่างเป็นไปเอง ถึงเวลาหายใจก็หายใจ ไม่ใช่มีแต่ ‘เราผู้จะเอาแต่ใจ’ รีดลมหายใจทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาหายใจ
เมื่อหายใจอย่างไม่มีเราใจจะ ‘ไม่รีบร้อน’ และเกิดสติรู้ตรงตามจริงว่า กายกำลังต้องการลมสั้นหรือลมยาว ไม่ใช่เอาแต่ยาวตามใจท่าเดียว กับทั้งไม่ปล่อยให้สั้น ตามอารมณ์หดหู่อยู่ไม่เลิก
เมื่อหายใจอย่างไม่มีเรา ใจจะ ‘รู้แบบยอมรับ’ ว่ากำลังหายใจอย่างอึดอัด เป็นทุกข์ หรือกำลังหายใจอย่างสบาย เป็นสุข กระทั่งเริ่มประจักษ์ว่า สุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง ไม่เห็นต้องไปอยากหายทุกข์ ไม่เห็นต้องตะกรุมตะกรามหาสุข
เมื่อหายใจอย่างไม่มีเรา ต่อเนื่องเพียงสองสามนาที จิตจะเข้าที่ และค้นพบนิมิตลมหายใจขึ้นมารางๆ รู้ว่า ถ้าจิตสงบลงไปเอง ลมหายใจจะปรากฏเป็นสาย รู้ว่า ถ้าพยายามบีบจิตให้สงบ ลมหายใจจะเลือนรางหรือดับมืด เพราะเกิดม่านหมอกความฟุ้งซ่านขึ้นมาบดบัง พอหายใจอย่างไม่มีเราเป็น จิตจะอยู่ในภาวะเกิดสติ เกิดมุมมองภายในขึ้นมาอีกแบบ รู้ว่าจะนั่งอย่าง ‘ไม่มีเราในกายนั่ง’ กันท่าไหน รู้ว่าจะทุกข์อย่าง ‘ไม่มีเราผู้เป็นทุกข์’ กันอย่างไร
รู้เบื้องต้นอย่างนี้ ลองฝึกทำให้ได้ผลบ้างประมาณนี้ แล้วย้อนกลับไปอ่าน ‘
อานาปานสติสูตร’ คุณจะพบขุมทรัพย์ทางสติ ที่ขุดมาใช้ได้ไม่หมดไปจนชั่วชีวิตที่เหลือ!
ดังตฤณ