Recent Posts

อารมณ์กับจิต มีความต่างกันอย่างไร?

ธรรมารมณ์

อารมณ์กับจิตมีความต่างกันอย่างไร? 

          ภาษาไทย ภาษาชาวบ้าน เราก็ใช้คำว่า อารมณ์ กันมา วันนี้อารมณ์ดี วันนี้อารมณ์ไม่ดี เราก็จะเข้าใจเพียงแค่ความรู้สึกในจิตใจว่าอารมณ์  อารมณ์หมายถึง อาการในจิตใจว่ามันดี ไม่ดี อันนั้นมันก็เป็นอารมณ์อันหนึ่งได้ เขาเรียกว่าเป็นส่วนของธรรมารมณ์

          แต่อารมณ์จริง ๆ มันไม่ได้มีแค่ทางใจ มันมีอารมณ์ทางตาก็มี ทางหูก็มี ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะมาทางกาย เรียกว่าเป็นอารมณ์ คือสิ่งที่จิตเข้าไปรับรู้ สิ่งที่ถูกรู้ของจิตนี้เป็นอารมณ์ จิตเป็นธรรมชาติที่เข้าไปรู้อารมณ์

          ฉะนั้น ในขณะที่จิตเกิดขึ้น ทำหน้าที่ไปรับรู้อารมณ์ มันก็จะมีอารมณ์กับจิตที่รู้อารมณ์ อารมณ์ต่าง ๆ เปรียบเหมือนแขก สีบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง เย็น ร้อนมาปรากฏ สังขารร่างกายเหมือนบ้านเหมือนเรือนหลังหนึ่ง จิตใจเหมือนเจ้าของบ้าน

          ฉะนั้น เวลาอารมณ์ต่าง ๆ มา จิตมันก็จะออกไปรับ เหมือนเจ้าของบ้านออกไปรับแขก มันก็จะมีแขกกับมีเจ้าของบ้านที่รับแขก การปฏิบัติก็เหมือนกัน จะต้องสังเกตอารมณ์กับสังเกตผู้รู้อารมณ์ โดยเฉพาะจิต มันต้องหัดรู้สึกตัวขึ้นมา จิตกับอารมณ์ จิตเป็นผู้ไปรู้อารมณ์ อารมณ์ก็จะถูกรู้ มันจะมีคู่กัน ขณะใดที่มีจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นมันก็จะมีอารมณ์ ก็สังเกตไป พิจารณาไป

          และเมื่อปฏิบัติไป ก็จะต้องพยายามฝึกให้มันเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันก็หมายถึงกำลังปรากฏอยู่ อะไรที่มันเป็นอดีต มันผ่านแล้วก็ต้องปล่อยให้ผ่านไป แม้มันจะยังดูไม่ชัด ยังดูไม่แจ่มแจ้ง ก็ต้องปล่อยให้มันผ่าน เพราะมันดับไปแล้ว ไม่ต้องไปตามคิดตามนึก สิ่งใดยังไม่เกิดอย่าไปพะวงอยู่ อย่าไปคอยดัก เอาอยู่กับปัจจุบัน

          บางท่านก็อาจจะรู้สึกว่าคอยไปดักอารมณ์อยู่ คอยจะดูว่ามันจะเกิดอะไร ที่จริงในขณะปัจจุบันมันมีสภาวะอยู่แล้ว รู้สึกในตัวปัจจุบันมันก็เจอสภาวะ มันไม่ได้ว่างเว้นจากสภาวะ ฉะนั้น ใส่ใจในปัจจุบัน ใส่ใจสภาวะที่กำลังปรากฏปัจจุบันเป็นขณะๆ ไป ก็ต้องค่อยทำไป ค่อยฝึกไป ที่สุดแล้วก็จะได้ผ่านนิวรณ์ ความง่วงเหงาหาวนอน ความฟุ้งซ่าน

          จิตใจตื่นรู้มากขึ้น ๆ ก็จะได้มีปัญญา รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้มันเปลี่ยนแปลง มันหมดไปดับไป มันไม่ใช่ตัวเราของเรา ถอนความยึดถือยึดมั่นได้ นี่คือเป้าหมายของการปฏิบัติที่จะต้องให้เกิดปัญญารู้แจ้งเพื่อจะละกิเลส เพื่อจะเข้าถึงความดับทุกข์ ไม่ใช่เราทำเพียงแค่นิ่ง ๆ สงบ เอาแต่ความสงบอย่างเดียว มันต้องมีปัญญา ฉะนั้น ปัญญาจะเกิดแจ่มแจ้งขึ้นมา ก็ต้องระลึกรู้ให้มันตรงต่อสภาวะ ก็ต้องเข้าใจเรื่องสภาวะ

หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี