(๑) “เราจะต้องมาหัดดูของจริงนะ มาหัดหมายรู้ให้ถูก วิธีที่จะหมายรู้ตัวเราให้ถูก พระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่เรียกว่า
วิภัชวิธี คือการแยกเป็นส่วนๆ แยกสิ่งที่เรียกว่าตัวเราออกเป็นส่วนๆ ท่านแยกไว้ ๕ ส่วน (๕ ขันธ์)”
(๒) “แต่การแยกนั้น ไม่จำเป็นต้องแยกทั้ง ๕ ส่วน (๕ ขันธ์) หรอก
เริ่มต้นง่ายๆ แยก ๒ ส่วนก็พอ แยกกายกับจิตออกจากกันก่อน แต่ส่วนหนึ่งจะต้องเป็นจิต ต้องมีจิต (คือ)มีวิญาณขันธ์
วิธีแยก ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่ทำสมาธิแล้วถอดจิตออกจากร่างนะ อย่างนั้นไม่ใช่วิธีแยกของพระพุทธเจ้า”
(๓) “
(วิธีแยกขันธ์) แยกโดยความรู้สึก อย่างขณะนี้เรานั่งอยู่ ลองรู้สึกซิ ร่างกายกำลังนั่งอยู่ รู้สึกไหม? ร่างกายกำลังนั่งอยู่ รู้สึกด้วยใจปกติ อย่าดัดแปลงใจนะ ขณะนี้นั่งอยู่ รู้สึกไหม? พยักหน้าซิ ขณะนี้พยักหน้า รู้สึกไหม? เห็นไหม?
ร่างกายมันเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู นี่แยกอย่างนี้ แค่นี้เองนะ ไม่ใช่ถอดจิตออกจากกายนะ”
(๔) “ขณะนี้ลองยิ้มซิ ยิ้มหวานๆ รู้สึกไหม? ร่างกายยิ้ม รู้ด้วยความรู้สึกนะ ไม่ใช่รู้ด้วยตานะ รู้ด้วยความรู้สึก ขยับมือซิ รู้สึกไหม?
ร่างกายเคลื่อนไหว ใจเราเป็นคนรู้สึก รู้สึกด้วยใจธรรมดาอย่างนี้แหละ
รู้สึกไปนะ
เราจะเห็นว่าร่างกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนรู้สึก ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนรู้สึก ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน ใจเป็นคนรู้สึก อย่างนี้ถือว่าแยกขันธ์แล้วนะ แยกได้ ๒ ขันธ์ คือกายกับใจ (กายกับจิต)
รูปกับนามแยกออกจากกันแล้ว อย่างน้อยต้องแยกได้สอง พอแยกได้ ๒ อันแล้ว ก็เรียนรู้ความจริงได้ เรียนรู้ความจริงของอะไรได้? ก็เรียนรู้ความจริงของกายกับใจได้
ลองกลับมารู้สึกร่างกายใหม่ซิ
รู้สึกด้วยใจปกตินะ ไม่ใช่ด้วยใจผิดปกติ ตอนนี้นั่งอยู่ รู้สึกไหม?
รู้สึกไหม? ตัวที่นั่งอยู่นี่ มันถูกรู้อยู่
ตัวที่นั่งอยู่นี่ เป็นของถูกรู้ จิตเป็นคนไปรู้มันเข้า รู้สึกไหม? ตัวที่นั่งอยู่ ไม่ใช่ตัวเรา อะไรที่ถูกรู้ อันนั้นไม่ใช่ตัวเรา ไปสังเกตให้ดี”
(๕) “แล้วจิตใจนี่
สังเกตให้ดี จิตใจเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง เป็นผู้เพ่งเป็นยังไง? อย่างเรารู้สึกร่างกายนะ มันเพ่งลงไปในร่างกาย มันถลำลงไปในร่างกาย ถลำลงไปนี่ จิตมันลืมตัวเองนะ
อย่างบางคนรู้ลมหายใจ จิตมันถลำไปอยู่ที่ลมหายใจ พวกที่ดูท้องพองยุบนี่ เกือบร้อยละร้อยเลย จิตถลำไปอยู่ที่ท้อง เป็นสมถะหมด ไม่เป็นวิปัสสนาหรอก เพราะขันธ์ไม่แยกจริง จิตไปรวมเข้ากับท้องนะ
ขันธ์ไปรวมกัน ไม่ได้แยกขันธ์
อย่างน้อยต้องแยกจิตออกมาเป็นคนดูให้ได้
ครูบาอาจารย์วัดป่าท่านเรียกว่า “จิตผู้รู้” ต้องมีจิตผู้รู้นะ”
(๖) “ค่อยๆ ดู ค่อยๆ แยกไป จนกระทั่ง
พอเราแยกได้อย่างน้อย ๒ ขันธ์ แต่หนึ่งในสองต้องเป็นจิต
ต้องเป็นวิญญาณขันธ์ แล้วขันธ์ที่เหลือ คือ รูป เวทนา ความสุขทุกข์ สัญญา ความจำได้หมายรู้ สังขาร ความปรุงดีปรุงชั่ว อันนี้ถูกรู้
เวลาจิตไปรู้ รู้ทีละอัน จิตไม่ไปรู้ทีเดียวทุกอย่างพร้อมๆ กันหรอก จิตรู้อารมณ์ได้ทีละอย่าง รู้รูป ก็รู้รูปนั่นแหละ รู้เวทนา มันก็รู้เวทนานั่นแหละ ไม่รู้ทีละหลายๆ อย่าง
ฉะนั้น เวลาทำกรรมฐานนะ เอาอย่างที่เราถนัดก่อน
อย่างถนัดรู้กาย รู้จนกระทั่งมีจิตเป็นผู้รู้แล้ว เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตที่เป็นผู้รู้ก็ไม่ใช่เรานะ แค่นี้ก็ได้ธรรมะแล้ว
เพราะว่า
เมื่อไหร่เห็นจิตไม่ใช่เรา ก็จะล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน เป็นโสดาบันแล้ว (ถ้าแค่) เห็นกายไม่ใช่เรา ยังไม่เป็น(โสดาบัน)นะ เพราะมันยังรู้สึก จิตเป็นเราอยู่ มันยังสงวนรักษาเอาจิตเป็นเราอยู่
ฉะนั้น แยกกาย แยกใจออกมา ไม่ใช่แยก(ใจ)ออกจากร่าง (แต่)แยกด้วยความรู้สึกของเรา (กายกับใจ)อยู่ด้วยกันนี่แหละ แต่มันเป็นคนละส่วนกัน ร่างกายกับใจมันคนละส่วนกัน จิตมันก็อยู่ในร่างกายนี่แหละ อยู่ด้วยกันแต่เป็นคนละส่วน
ถ้าเรามีจิตเป็นผู้รู้ผู้ดู แล้วก็ดูกายไป จะเห็นกายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ถ้าเราไปดูเวทนา เราก็จะเห็นเวทนาไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ถ้าไปดูสังขาร โลภ โกรธ หลง ก็จะเห็นโลภ โกรธ หลง ไม่ใช่เรา จิตที่รู้โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ใช่เรา นี่ค่อยๆ ฝึกไป”
(๗) “หัดแยกขันธ์ แล้วจะล้างความเห็นผิดว่ามีตัวตนได้ นี่หลักสูตรของพระพุทธเจ้า การแยกออกมาเรียกว่า วิภัชะ วิภัชวิธี แยกสิ่งที่เรียกว่าตัวตนออกไป จนเห็นว่าไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนก็คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การประสบสิ่งที่ไม่รัก ความไม่สมหวัง (สภาวะเหล่านี้)มีอยู่ แต่ไม่มีผู้แก่ ผู้เจ็บ ผู้ตายไม่มีผู้พลัดพราก ผู้สมหวัง ผู้ผิดหวัง”
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช