ภาวนาจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จนี่ ต้องมีสติตัวหนึ่งมี
สัมมาสมาธิอีกตัวหนึ่ง คือ มีใจที่ตั้งมั่น ไม่ใช่
มิจฉาสมาธิ คือใจที่เข้าไปแช่กับอารมณ์ ตรงนี้ต้องแยกให้ออก
ผู้ปฏิบัติที่ล้มลุกคลุกคลาน เพราะแยกมิจฉาสมาธิกับสัมมาสมาธิไม่ออก นี่ตัวหนึ่ง เพราะแยกสัมมาสติกับมิจฉาสติไม่ออก นี่อีกตัวหนึ่ง สติก็เป็นสติกำหนดไปหมด สมาธิก็เป็นสมาธิเพ่งจ้องไปหมด
เวลาเดินจงกรมอย่าไปกำหนด ให้รู้เล่นๆ มิฉะนั้นสมาธิที่เกิดขึ้นจะเป็น
มิจฉาสมาธิ จิตจะไหลไปอยู่ที่เท้า จิตไม่ตั้งมั่น แต่เป็นจิตที่ลงไปแช่อยู่กับอารมณ์ จิตที่จมอยู่กับอารมณ์ เรียกว่าอารัมมณูปนิชฌานเป็นสมถะ
ถ้าใจอยู่ต่างหาก เห็นร่างกายเดิน จะรู้สึกทันที ร่างกายที่เดินอยู่นี้ไม่ใช่เราจะเห็นทันที นี่เกิดปัญญา
เพราะฉะนั้นถ้าวางจิตผิดนะ เอาจิตไปอยู่ที่เท้า แนบไปเลย ไม่หลงเลยนะ มีสติแต่กลายเป็นสมถะ
แต่ถ้าจิตเราตั้งมั่นอยู่ เห็นร่างกายมันเดินอยู่ จะเห็นเลยตัวที่เดินอยู่นี่ ไม่ใช่เรา เกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์
สติเป็นแค่ระลึก สมาธิเป็นความตั้งมั่นในขณะที่สติระลึก ถ้ารู้สึกอยู่ตอนเดินก็จะเห็นเลย
ร่างกายที่เดินอยู่เป็นของที่ถูกรู้ถูกดู ใจเราเป็นคนดูอยู่ต่างหาก ร่างกายที่ถูกดูอยู่นี่ ไม่ใช่เรา เห็นทันทีเลย พอจิตหลงคิดไป เราก็เห็นเลย จิตหลงไปแล้ว จิตที่หลงไปตะกี้ดับไปแล้ว เกิดจิตที่รู้สึก จิตก็เกิดดับ ก็เห็นไตรลักษณ์
เพราะฉะนั้นต้องเห็นไตรลักษณ์ของกาย เห็นไตรลักษณ์ของจิต ถ้าไปเพ่งอยู่ที่เท้า ก็เป็นสมถะ
ถ้ากำหนดไปเรื่อยๆ ก็เป็นสมถะ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช