Recent Posts

เรียนธรรมะ คือเรียนเรื่องจิต


          พระพุทธเจ้าสอนสาวกทั้งหลายก็สอนให้ “ดูตัวเอง” บางคนศึกษาไปทั่วหมดเลย ศึกษาศาสนาโน้นศาสนานี้ ศึกษาแทบล้มแทบตายไม่เคยรู้จักตัวเอง พระพุทธเจ้า พระองค์สอนให้ดูตัวเอง “เอ...ดูตัวเองนี่ง่าย”

          บางคนน้อมเข้ามาเห็นตัวเองเลยว่า ตัวเองนั่งอย่างไร เดินอย่างไร กินอย่างไร คิดนึกอย่างไร เห็นตัวเองนั่นบรรลุเลย เหมือนอย่างที่พวกเรานั่งกรรมฐานนี่ พอเราเห็นหน้าตัวเองก็สงบทันที

          เราเห็นลมหายใจก็สบายทันที พระพุทธเจ้าจึงบอกให้ดูตัวเองนี่ง่าย ดูผม ดูขน ดูเล็บ ดูฟัน ดูหนัง กรรมฐานคือการดูนั่นเอง ไม่ใช่หลับหูหลับตาไม่ดูอะไร หลับตาแต่ดู...ดูทางใน
     
          พระพุทธเจ้าจึงสอนให้มีตัวรู้ คือนาม ธรรม ให้มีตัวรู้คือสติ ให้มีตัวรู้คือสมาธิ ให้มีตัวรู้คือ ปัญญาให้ไปไตร่ตรองพิจารณาทุกข์สุขที่ใจของเรา เราจะได้เห็นตัวเราจะได้เข้าใจถ่องแท้ของแก่นธรรม ในตัวเรา รู้เรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้ความเกิด ความดับของจิตว่าไม่มีอะไรทุกข์เกินจิต ไม่มีอะไรสุข เกินจิต เมื่อเรารู้จักจิตใจของเราแล้ว เราก็จะเข้าใจตัวเราเอง

          การเรียนสติปัฏฐาน ๔ ที่พระพุทธเจ้าสอนและที่พระพุทธเจ้าทำ ก็คือ เรียนเรื่องจิต เรื่องวิญญาณที่จุติที่เกิดเป็นดีเป็นชั่ว เป็นบุญเป็นบาป รู้ว่าวิญญาณมี ๖ ทาง ๖ ช่อง เป็นตัวกลไกที่ทำคนให้หลง เช่น ตาเห็นรูป ตามีอย่างเดียวมันไม่รู้จักอะไรหรอก พอตาเห็นรูปปุ๊ป เห็นนี่เป็นวิญญาณ มันก็ส่งรูปนั้นเข้าไปถึงจักขุวิญญาณผ่านทางสมอง สมองก็เป็นเครื่องกลไกพอผ่านทางสมอง ภาพนั้นก็เข้าไปถึงจิตและก็เข้าไปปรุงแต่งว่า สีเขียว สีขาว สีแดง สวย ไม่สวย จิตสังขารตัวนั้นก็มีเจตสิกอีกหลายดวง 

          ถ้าตัวโลภมันก็ปรุง ตัวโกรธ ตัวหลง ตัวรักชัง มันก็ปรุงอันนั้นไม่ใช่ตาปรุงแต่งนะ วิญญาณเป็นตัวสื่อส่งไปสู่กระแสจิต จิตเจตสิกเป็นตัวปรุงว่าดี-ไม่ดี ชอบ-ไม่ชอบ รัก-ชัง แต่ที่จริงอยู่แค่ตานี่ไม่มีอะไร พระพุทธเจ้าพระอรหันต์อยู่แค่ตา เห็นสักแต่ว่าเห็น เมื่อหูได้ยินเสียง จมูกก็ได้กลิ่น ลิ้นรู้รส กายรู้สิ่งถูกต้องกาย ใจรู้เรื่องในใจ

          - พระพุทธเจ้าทรงศึกษามาแล้วจนจบจิต พวกเราที่ยังเป็นวัฏฏะ เวียนว่าย ตาย เกิดอยู่ก็ เพราะเราศึกษาจิตไม่จบ เพราะเรายังหลงจิตอยู่ ยังไม่รู้ว่าจะจับจุดพิจารณาอย่างไร ทำอย่างไรที่จะเข้าไปรู้ให้ถึงธรรมอันนั้น เพราะเรายังอยู่ในวัฏฏะ ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ เพราะจิตไม่มีตัวตน ก็เลยไม่รู้ว่าจะมองดูอย่างไร จะจับอย่างไร จิตนั้นมีความโลภ โกรธ หลง อยู่ในนั้นอยู่แล้วเราก็ไม่สามารถไปจับเขามาดู หรือมาบีบคั้นให้มันหมดไปได้อย่างไร

          เมื่อไม่มีตัวตนเราก็ต้องใช้วิธีจับจิต แบบไม่มีตัวตนก็คือ ใช้การภาวนา เอาจิตเข้าไปไว้ตรงใดตรงหนึ่งให้จิตเป็นหนึ่ง เมื่อจิตใจจดจ่ออยู่เป็นหนึ่งก็ปรากฏความคิดขึ้นมา คิดไปเรื่องโน้นเราก็ตั้งสติ คิดไปเรื่องนี้เราก็รู้สติว่าเราคิดอะไร พอเรารู้ทันหนักเข้าๆ มันก็รวมเป็นใจว่าง ใจว่าง ใจสว่างนั่นคือ ตัวรู้ทันจิต ทำให้เกิดปัญญาญาณรอบรู้เท่าทันจิตตัวเองเกิดความสุขสงบขึ้นมา

          - เราจำเป็นต้องเรียนเรื่องจิต เพราะว่าทุกข์เกิดที่จิต สุขก็เกิดที่จิต ถ้าเราอยากจะได้ความสุข เราจะไปหาตรงไหน ? ความสุขไม่ได้อยู่ที่กินอิ่ม นอนหลับ ได้ลาภ ได้ยศ แต่ถ้าเรียนเรื่องจิต จนจิตของเรานั้นสงบแล้ว วางแล้ว เฉยแล้ว ตามรู้ทันแล้ว จิตนั้นเป็นดวงเดียวได้ เมื่อไร จิตว่างได้เมื่อไร เมื่อนั้นเราก็พบแก่นธรรม เราก็พบความสุขที่ใจเรา เราไม่ต้องวิ่งไปหาอะไรอีกแล้ว

          - การเรียนธรรมะ คือเรียนรู้เรื่องจิตของตัวเอง เรียนจิตหลายดวงที่คิดโน่นคิดนี่มากมาย เราเรียนรู้มากเข้าก็คิดน้อยลงๆ จนเหลือจิตดวงเดียว พอจับจิตดวงเดียวได้เราก็เริ่มรู้จิตตัวเรา ธรรมะก็คือเรียนจิตหลายร้อยหลายพันดวง วันหนึ่งนี่นับไม่ถ้วนเลย นั่งดูเถอะ คิดโน่นคิดนี่ ปรุงโน่น ปรุงนี่ ขยับกายหน่อยจิตมันก็ปรุงแต่งทันที กระพริบตาหน่อยจิตก็ปรุงแต่งทันที เคลื่อนไหวจิตมันก็ปรุงแต่งทันที ถ้าไม่มีสติมันก็ไปของมันเรื่อยเปื่อย

          แต่พอสำรวมมากขึ้น มีสติมากขึ้น อิริยาบถละเอียดมากขึ้น เข้ามามองดูตัวเองมากขึ้น เราก็จะเห็นจิตพวกนี้มากขึ้น พอเห็นมากๆ มันก็ดับไปๆ ดับแล้วก็หาย หนักเข้าๆ มันก็วนเข้ามา มาเหลือ “จิตดวงเดียว” มาเหลือเพียงเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็เฉย...เกิดแล้วก็เฉย จิตของเราก็จะสว่าง จิตของเราก็ว่าง เรียนเรื่องจิตก็คือเรียนอย่างนี้

          - หลักปฏิบัติก็คือ ตามเฝ้าดู เฝ้าพิจารณากายกับใจ นามกับรูป รูปกับนาม ยกจิตขึ้นสู่พระไตรลักษณะญาณ เห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปอยู่ทุกขณะจิต ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา มันเป็นเพียงแค่ความคิดนึกเท่านั้น แต่ถ้าเราทำตาม...มันเป็นตัวตนใหญ่เลย มันแค่นึกแล้วก็หาย ไม่มีตัวตน คิดว่าจะไปเอาโน่นเอานี่ เราไม่ไปตามมันก็ดับ แต่ถ้าเราหลงไปตาม มันเอาเรื่องใหญ่ๆเข้ามาเลยนะ

หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ