หยุดคิดเพราะเห็นข้อเสีย (อสุภะ)
วันหนึ่งมีโยมมาเล่าเหตุการณ์ที่เขาคิดจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่ราคาแพงให้ท่านว่ายทวนน้ำฟังว่า
โยม : ผมอยากหารองเท้าแตะที่ใส่แล้วเดินสบายๆ ใช้ได้นานๆ ใช้ใส่ได้ในหลายๆพื้นที่ ใส่สักคู่นึงครับ ปรากฏว่าวันก่อนผมไปเจอรองเท้าแตะคู่นึง พอลองนำมาใส่ดูก็นุ่ม เดินสบายมาก แต่มันราคาคู่ละเกือบสองพันบาท ผมคิดวนเวียนอยู่นานว่าควรจะซื้อดีไหม สุดท้ายลองเปิดหาข้อมูลเกี่ยวกับรองเท้ายี่ห้อนี้ใน google ดู มีหลายคนที่เขียนรีวิวมาในทำนองว่าราคาก็แพง แต่เดินอยู่ 2-3 เดือนดอกยางที่พื้นหายเกือบหมด เดินลื่นมากทำให้หกล้มง่าย แม่ก็ใส่เดินและลื่นหกล้มดีว่ากระดูกไม่หัก ฯลฯ หลังจากผมอ่านรีวิวแล้วผมเลิกสนใจเดินหนีเลยครับ ไม่คิดจะซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้อีกแล้ว
ว่ายทวนน้ำ : ขอถามในทางกลับกันว่าถ้ารองเท้านี่ดอกยางไม่สึกหรอง่าย โยมจะซื้อไหม?
โยม : ซื้อครับแต่ก็คงคิดวนเวียนอยู่สักพักนึงเพราะราคามันก็สูงอยู่
ว่ายทวนน้ำ : สังเกตไหมว่าถ้าโยมเห็นแต่ข้อดีโยมจะหลงไปกับความคิดที่อยากจะซื้อ แต่พอโยมเห็นข้อเสียของมันที่โยมไม่สามารถรับได้แล้วเท่านั้นความคิดที่จะซื้อดับหายไปเลย “ความอยาก” หายไปเลยใช่ไหม?
โยม : ใช่ครับ ไม่มีความรู้สึกอยากซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้อีกแล้ว
ว่ายทวนน้ำ : การที่ความอยาก (ความคิด) ในเรื่องนี้ดับไป โยมไม่ต้องนั่งสมาธิกำหนดจิตอะไรเลยใช่ไหม?
โยม : ใช่ครับแค่เสิร์จหาข้อมูลจาก google เท่านั้น
ว่ายทวนน้ำ : ในการภาวนาก็เช่นกัน ให้ทำแบบนี้กับทุกเรื่อง คือให้ “หาข้อเสีย” ของสิ่งต่างๆ ให้มากที่สุด พิจารณาถึงข้อเสียของสิ่งนั้น ทำให้ความคิดที่อยากนั่นอยากนี่ ทำนั่นทำนี่ ดับๆๆ ไปเรื่อยแบบนี้ การพิจารณาข้อเสียนี่แหละคือวิถีทางในการละกิเลส (ละความคิด)
ในวันที่ฉันโพล่งครั้งสุดท้ายเมื่อปี 40 ตอนนั้นมันมีธรรมผุดขึ้นมาว่า “การพิจารณาข้อเสียนี่แหละคือการพิจารณาอสุภะ” หลังจากโพล่งแล้วธรรมตัวนี้มันขึ้นมาจากข้างในเองว่าการพิจารณาข้อเสียของสิ่งต่าง ๆ นั่นแหละคืออสุภะกรรมฐาน
“อสุภะ” จริง ๆ แล้วไม่ใช่หมายถึงซากศพนะ แต่มันหมายถึง “ข้อเสีย” ของสิ่งนั้น อย่างรองเท้าที่โยมจะซื้อพอโยมพิจารณาเห็นข้อเสียของมันว่าดอกยางสึกหรอเร็วเดินลื่นหกล้มง่าย นั่นแหละคือการที่โยมพิจารณาอสุภะของรองเท้าแล้ว รองเท้าไม่ได้กลายเป็นซากศพ แต่โยมกระจ่างในข้อเสียของมันแล้ว ความคิดในเรื่องนั้นจะดับไปเลย
แต่ความหมายของอสุภะเมื่อสักครู่นี้ฉันไม่สามารถพูดออกไปให้หลายคนรับทราบได้ เพราะคนที่อ่านตำรามาเขาจะคิดพอจารณาอสุภะหมายถึงพิจารณาซากศพ ศพมี 10 แบบอะไรก็ว่าไปตามที่แปลมา อ่านมา ครูบาอาจารย์คนอื่นสอนมา
ดังนั้น หากโยมจะละกิเลส ละความคิดที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ขอให้โยมพิจารณาหาข้อดีข้อเสีย หาทุกข์หาโทษของสิ่งนั้นให้มาก หากทำได้มาก ความคิดเรื่องนั้นดับ เรื่องนี้ดับ ตรงนี้แหละจะเป็นการเพิ่มกำลังของจิตในการดันกิเลสที่ฝังอยู่ให้หลุด
-----------------------------------
หลวงปู่หล้า : เมื่อเห็นว่าสิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ สิ่งนั้นไม่ต้องพยายามละ มันทิ้งเองตูมเลย เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์
เหมือนน้ำลาย ถ้ามันเห็นชัดว่ามันไม่มีประโยชน์มันก็บ้วนทิ้ง มันก็ไม่เสียดายเอาคืนมาอีก ด้วยปัญหาก็ไม่มีในน้ำลายนั้น ระวังข้าเน้อ จะเอาน้ำลายมากินอีก มันก็ไม่ได้ว่า เราก็ไม่ระวังเราจะเอาน้ำลายมาอีก
เพราะเราเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ ใครๆ ก็เหมือนกัน ทุกท่านล่ะ ถ้าเห็นอันนี้ไม่เป็นประโยชน์ชัด มันก็ทิ้งตูมเลย ที่มันทิ้งไม่ได้ เพราะมันเห็นว่ายังมีประโยชน์ มันยังมีมิจฉาทิฏฐิในตอนนั้นอยู่