Recent Posts

จิตไม่เกาะขันธ์

          

          ในพระไตรปิฎกมีนะ บอกพระอรหันต์เจริญสติปัฏฐาน จิตพรากออกจากขันธ์ ไม่รู้เจริญทำไม เจริญเป็นเครื่องอยู่ไง เจริญสติปัฏฐานไป จิตพรากออกจากขันธ์ จิตไม่เกาะกับขันธ์ ทำยังไงก็ไม่เกาะ พยายามน้อมๆ มุดๆ ให้เกาะ มันไม่เกาะจริงหรอก พอจะเคลื่อนไปแตะนิดหนึ่งก็กระเด้งขึ้นมา ไม่มีการเกาะกันเลย

          เหมือนแสงแดดที่ผ่านไปในอวกาศ ไม่กระทบกระทั่งอะไรเลย ไม่มีปฏิกิริยาอะไรขึ้นมา ในอวกาศเลยมืดๆ ไม่มีอะไรสะท้อนแสง จิตพระอรหันต์ก็อย่างนั้นแหละ ผ่านไปในความว่าง ว่างอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่มีอะไรย้อมได้ ไม่มีกระทบกระทั่ง ไม่มีกระเทือน ไม่มีร้อนนะ

          จิตของปุถุชนยังร้อนอยู่ จิตของพระโสดาบัน สกิทาคามี พระอนาคามี ก็ร้อน แต่จิตพระอนาคามีร้อนน้อย ร้อนน้อยมากจนกระทั่งเรียกว่าเย็น เย็นฉ่ำ มีความสุขอยู่อย่างนั้นแหละ มีความสุขอยู่ทั้งวัน จนกระทั่งตอนที่มันหมองๆ หน่อยนะ หมองๆ หน่อย เริ่มไม่มีความสุขแล้ว ทนไม่ได้ต้องดิ้นรนค้นคว้าขึ้นมาอีกตรงที่ดิ้นรนค้นคว้าเรียกว่าฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านในธรรมะ ไม่เป็นกลาง

          วันใดเป็นกลางต่อสภาวะทุกสภาวะ เห็นทุกๆ สภาวะเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป เป็นกลาง ใจยอมรับความจริง เมื่อใจเข้าถึงความจริง ยอมรับความจริงแล้ว มันจะไม่ทุกข์ จำเอาไว้นะ ถ้าใจยอมรับความจริงก็จะไม่ทุกข์

          อย่างร่างกายนี่ ถ้ามีสติปัญญามาก รู้ว่ามันต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย พอมันแก่ต้องเจ็บต้องตาย ไม่ทุกข์หรอก เพราะรู้แล้วมันต้องเป็นอย่างนี้ ใจยอมรับ เหมือนหลวงพ่อวันชัย ท่านไม่สบายเป็นโรคซึ่งไม่มีทางรักษาหรอก ถ้าให้ยา ยาก็ไปทำลาย ยาเป็นสารเคมีก็สะสมเข้าไปไตวายอีก ไตก็ขับสารเคมีไม่ได้
ถ้าไม่ให้ยาก็ตาย ให้ยาก็ตาย เพราะฉะนั้นต้องตายอย่างสง่าผ่าเผย ไหนๆ ก็จะตายแล้ว บอกนอนดูมันตาย หลวงพ่อไปเยี่ยมท่านก่อนวันที่ท่านจะตาย คนก็นึกว่าเราจะไปปลอบโยน ให้กำลังใจ ไปถึงเราก็บอก "ท่านอย่างไรก็ตายแน่ครับรอบนี้ ไหนๆ จะตายแล้วก็ตายอย่างนักรบนะ ตายอย่างสง่าผ่าเผย นอนดูมันตายไปเลย เรารักษาจิตอันเดียวนี้แหละ" บอกท่านอย่างนี้แล้วก็บ๋ายบาย ไปรักษาเอาเองนะ

          บอกท่านว่า ถ้ารู้จิตรู้ใจได้ รู้มันลงไป ถ้ารู้ไม่ได้ ดูกายมันตาย ถ้าทำไม่ได้จริงๆ คิดถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้ คิดถึงพระพุทธเจ้าเป็นสมถะ รู้จิตได้รู้จิตไป รู้จิตไม่ได้ดูกายมันไป มันจะตายก็ให้มันตายไป ทำไม่ได้ก็ทำสมถะคิดถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้นี่ตายอย่างนี้ เรียกว่าตายเป็น พวกเราระวังตายอย่างเขียด ต้องฝึก ฝึกเอาเรื่อยๆ ของท่านใจถึงนะ สุดท้ายเห็นคุณเหน่งมาบอกว่าท่านไม่รักษาด้วย ไม่กินยาที่หมอให้เลย
เพราะกินยาก็ตายเร็วอีกนั่นแหละ เดี๋ยวกินแล้วเบลอ ถ้ากินแล้วจะเบลอๆ กดประสาท ท่านคอยดูๆ เอา เห็นกายนี้ทุกข์ ทุกข์ กายมันทุกข์นะ ใจไม่เอาแล้ว ใจไม่เอาใจก็ถอยออกมา ถอยออกมา แต่โดยธรรมชาติของมัน มันไม่ทิ้งทีเดียว มันวิ่งเข้าวิ่งออก มันนอนอยู่อย่างนั้นแหละ ๓-๔ ทีนะ เห็นไปเห็นมา ฮื้อ จิตมันเป็นอนัตตาก็ตายอย่างนั้นแหละ ก็ตายอย่างพระ ไม่ใช่ตายอย่างเขียด

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช