Recent Posts

การปฏิบัติมี ๒ ขั้น ขั้นฝึกสติ-ขั้นปัญญา


การปฏิบัติมันจะมี ๒ ขั้น ขั้นให้มีสติ กับ ขั้นให้มีปัญญา

          ขั้นให้มีสติ ก็หัดรู้สภาวะบ่อยๆจนกระทั่งมันรู้ได้เอง เช่น เราเคยดูความโกรธ ความโกรธผุดเรารู้ๆ ทีแรกต้องจงใจดู เพราะคนทั่วไป จะไปดูคนที่ทําให้โกรธ เรามัวแต่ดูคนอื่น เราเปลี่ยนมาคอยรู้ทันความโกรธที่เกิดขึ้นในใจ โกรธขึ้นมาเราคอยรู้ โกรธขึ้นมารู้ ต่อไปนะ มันโกรธขึ้นมาเรารู้โดยไม่ต้องเจตนาจะรู้ นี่เรียกว่าสติเกิดแล้ว แล้วพอเราฝึกไปเรื่อยๆ ทั้งวันเราเห็นจิตเกิดอยู่ ๒ ชนิด จิตโกรธกับจิตไม่โกรธ อย่างคนขี้โมโห เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หาย ทั้งวันมีแต่เรื่องแค่นี้ เราก็ใช้ความโกรธสุ่มตัวอย่างของจิตมาเรียนอันเดียว คือ จิตโกรธสําหรับคนขี้โกรธ คนขี้โลภก็สุ่มตัวอย่างมาเรียนอันเดียวคือ จิตโลภ
จิตมีโลภะก็รู้ ไม่มีโลภะก็รู้ คอยดูอย่างนี้ ดูมันคู่เดียวก็พอ คนไหนมี ตัวไหนมากก็เอาตัวนั้นแหละมาดูบ่อยๆ ต่อไปพอจิตมันโกรธขึ้นมา โลภขึ้นมา มันรู้โดยที่ไม่เจตนาจะ ทีแรกมันต้องจงใจหน่อยๆ เพราะมันเคยชินที่จะไปรู้สิ่งอื่น เวลาราคะเกิดก็จะไปดูคนที่เราชอบ เวลาโทสะเกิดก็จะไปดูคนที่เราเกลียด มันไม่ดูว่าจิตกําลังชอบจิตกําลังเกลียด หัดย้อนมาดูความรู้สึกของตัวเองบ่อยๆ ต่อไปความรู้สึกเกิด สติจะเกิดเอง จะรู้ทันว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้ว สติเป็นตัวรู้สภาวะว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้ว พอฝึกมากเข้าๆนะ ต่อไปมันจะรู้ทั้งวัน เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างมาให้เรา แต่ละกลุ่มๆนั้นเกิดขึ้นทั้งวัน หายใจออก-หายใจเข้า
หายใจทั้งวันไหม? ทั้งวันมีอยู่แค่นี้เอง หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว รู้สึกทั้งวัน  แต่ก่อนที่จะรู้สึกต้องตั้งใจรู้สึกก่อน ไม่งั้นใจมันจะล่องลอย เราก็มานั่งหายใจ เห็นร่างกายหายใจออก รู้สึก เห็นร่างกายหายใจเข้า รู้สึก ต่อไปเห็นร่างกายมันหายใจนะ มันจะรู้สึกเอง นี่ถ้าต่อไปหายใจออก รู้สึก หายใจเข้า รู้สึก ความรู้สึกตัวก็จะต่อกันเป็นสายเลยนะ สติของเราก็จะดี รู้สึกได้ทั้งวันเลย ไม่ได้เจตนารู้สึกด้วยนะ

          ขั้นปัญญา ก็เห็นไอ้ตัวที่หายใจอยู่ก็ไม่ใช่เรา จิตที่เป็นคนรู้ร่างกายก็ไม่ใช่เราจะเห็นอย่างนั้น
หรือเห็นว่า ตัวสุข-ทุกข์ไม่ใช่เรา จิตที่ไปรู้สุข-ทุกข์ก็ไม่ใช่เรา กายที่สุข-ทุกข์ไปอาศัยอยู่ก็ไม่ใช่เรา
จะเห็นอย่างนั้นนะ นี่เป็นปัญญา หรือเห็นว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับ หายใจออกเกิดแล้วก็ดับ หายใจเข้าเกิดแล้วก็ดับ ยืนเกิดแล้วก็ดับ นั่งเกิดแล้วก็ดับ นอนเกิดแล้วก็ดับ อย่างนี้ก็เป็นปัญญา เห็นอนิจจัง ตรงที่เห็นว่าไม่ใช่เรานั้นเรียกว่า เห็นอนัตตา นี่เรียกว่า หัดเจริญสติปัฏฐาน ให้ได้สติให้ได้ปัญญา
       
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช