Recent Posts

จับอารมณ์มาวิเคราะห์


          การทำสมาธิไม่ใช่เพียงทำจิตให้นิ่งแล้ว จะสำเร็จประโยชน์อย่างเดียวก็ไม่ใช่ เราต้องมีความรู้กว้างกว่านั้น โดยมองตัวละครทั้งหมดให้ออกมาก่อน แล้วหาทางหนีทีไล่ อบรมให้เป็นไปตามนั้นออกมาอีกทีหนึ่ง

          คนๆนั้นจะต้องโอนย้ายถ่ายเทจิตดวงนี้ไปสู่อีกระบบหนึ่งให้ได้ จากระบบเดิมๆ คือ จิตดวงนี้คิดไปในอารมณ์ข้างนอก แล้วมีภาพออกไปเรื่อยๆ เขาจะปิดเส้นทางนั้น เขาจะไม่รักษาตำแหน่งนั้นไว้ จะไม่ให้สิ่งนั้นงอกงามต่อไป

          แล้วพยายามอบรมจิตไปสู่อีกระบบหนึ่ง ไปสู่ทางอีกเส้นหนึ่ง แล้วทำที่มืดอยู่ให้แจ้ง ที่ยังไม่ปรากฏให้ปรากฏ ทำสิ่งที่ยังไม่เห็นให้เห็นแจ้งขึ้นมา จิตแทนที่จะคิดข้างนอก เราไม่ให้คิด หรือคิดไปแล้วดึงกลับมา เอาจิตคิดอยู่ในตัวเราทั้งๆ ที่ยังไม่แจ้งทั้งที่ยังมืดอยู่ แต่พยายามมองตัวเราบ่อยๆ คิดวนอยู่ในตัวเรา เอาสติไปในกายทุกเมื่อทุกที่ทุกตำแหน่งของร่างกาย (เอาสติไปในกายทั้งปวง) เป็นแค่สติ ไม่ใช่สมาธิที่ลึกอะไร เป็นแค่สติ เรียกว่า “กายคตาสติ หรือ สติปัฏฐาน ๔ ” ตรงนี้ การอบรมจึงเกิดขึ้น

          เมื่อเราใช้สติมองวนไปวนมาในกาย ทีแรกเราทำสมาธิให้จิตสงบแล้ว จิตออกไม่ได้ เพราะจิตมีอารมณ์เป็นเหตุของปัญหาที่วุ่นวาย เราจับอารมณ์มาวิเคราะห์ จะเห็นว่าอารมณ์ทั้งหมด เกิดจากภาพของจิตที่สร้างขึ้นมา

          เพราะจิตที่สร้างภาพขึ้นมา คือ ปัญหาของอารมณ์ ภาพเหล่านั้นเป็นภาพข้างนอกตัวของเรา จึงเป็นที่มาของอารมณ์ข้างนอกที่ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด แต่ต่อไปนี้เราจะนึกถึงภาพของเราเองขึ้นมาแทนภาพข้างนอก เพื่อถ่ายโอนอำนาจนั้นให้เป็นข้างใน เปลี่ยนระบบของจิตไม่ให้ตั้งอยู่ข้างนอกมาเป็นตั้งอยู่ข้างใน

          แล้วตรงที่นึกถึงข้างนอกแจ้งชัดทำให้มืดลงและที่มืด(ตัวเรา)อยู่ทำให้แจ้งขึ้น ถ้าเราอบรมไปตามระบบที่เราเข้าใจตรงนี้ได้ คนนั้นถึงจุดจบได้แน่นอน หนทางมีทางออก การปฏิบัติตรงนี้ ไม่ใช่การเข้าสมาธิ เป็นลักษณะที่เข้าสมาธิก็ไม่ใช่ จะออกข้างนอกก็ไม่ใช่ อยู่กึ่งกลางเป็นแค่สติแล้วเอาสติตั้งไว้

          จงมองจิตดวงนี้ด้วยความชาญฉลาดว่า อารมณ์เหล่านั้น พระพุทธองค์ทรงสอนไว้อย่างไร แล้วตีปัญหาให้แตกออกมา เช่น อารมณ์ทั้งหมดของจิต คือ ราคะ โทสะ โมหะ

          ให้สังเกตว่า อารมณ์ราคะเกิดขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยอะไรหนอ? ที่เป็นเหตุ แล้วจะดับลงด้วยอะไรหนอ? ที่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ดับ หันหน้าเข้าหาอารมณ์ แล้วศึกษาอารมณ์ให้ถ่องแท้ และหาทางแก้ไข แล้วจะแก้ไขได้

          ผู้ปฏิบัติตรงนี้เขาจะไม่กลัวอารมณ์ มีอารมณ์เกิดขึ้นมา เราจะดูให้ละเอียดแล้วก็แก้ไขไป แล้วเขาจะแก้ปัญหาได้ ฉะนั้น อารมณ์ที่ตั้งของกิเลสทั้งสามอย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ จะมีเอกลักษณ์ในตัวเอง เฉพาะของกิเลสตัวนั้นๆ เช่น อะไรเอ่ย? ทำให้กิเลสราคะเกิดขึ้น ที่เกิดแล้วยังให้เกิดความงอกงามไพบูลย์ และอะไรเอ่ยที่ทำให้ราคะที่ยังไม่เกิดๆ ขึ้น ที่เกิดแล้ว ถูกทำให้บรรเทาลงไป

          เราสังเกตไหมว่า จิตที่คิดไปในอารมณ์ต่างๆ เริ่มแรกของการคิดจะแวบขึ้นมาก่อน เป็นต้นเรื่องก่อน สมมุติว่าเราจะคิดเรื่องอะไรขึ้นมา จิตคิดไปแวบหนึ่งก่อน ทีแรกจะเริ่มเรื่องเป็นหัวข้อขึ้นมาก่อน แล้วขยายหัวข้อนั้นให้แตกแขนงออกไป แล้วอารมณ์ก็จะไหลไปตามการแตกแขนง กลายเป็นกิ่งก้านสาขามากมายเป็นต้นไม้ใหญ่โต ทีแรกเริ่มจากต้นไม้เล็กๆ จึงเรียกว่า “งอกงามไพบูลย์” ขึ้น

          สมมุติว่า เราคิดถึงสิ่งที่เราชอบ ที่ตั้งของกิเลสประเภทราคะ ภาพของจิตนึกถึงใครก็ได้ที่เราชอบ ชายชอบหญิง หญิงชอบชาย เกิดจากจิตปฏิพัทธ์กันตามธรรมชาติสร้างเอาไว้ก่อนนั้น ไม่ควรหนีปัญหาเอาปัญหามาวิเคราะห์ แล้วจะแก้ปัญหาได้ จิตสร้างภาพขึ้นมาเป็นที่ตั้งของราคะ ภาพที่ปรากฏเป็นภาพสิ่งที่เราชอบและพอใจ เป็นภาพหัวข้อเรื่องก่อน เราคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่เราไม่สลัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง

          สังเกตถ้าเราคิดเรื่องอะไร แล้วไม่สลัดความคิดทิ้ง ความคิดนั้นก็จะทวีความรุนแรงขึ้นๆ เราก็ขยายความกว้างขึ้นๆๆ อารมณ์ก็จะมากขึ้นๆๆ จนจิตเราน้อมลงๆ กลายเป็นคิดไม่หยุดเลย เหมือนขับรถวิ่งเอื่อยๆ ก่อน แล้ววิ่งเร็วขึ้นๆ เราเคยเห็นไหมคิดมากจนเครียด คนถึงได้เป็นโรคเครียดกันมาก จะหยุดก็หยุดไม่ได้ ความแรงของอารมณ์สูง ความแรงมหาศาล ทีแรกก็เรื่องนิดเดียว แต่เราเพิ่มเติมความคิดจนงอกงาม จิตคนนั้นก็ถูกกิเลสประเภทนี้ครอบงำเต็มที่ จนถึงที่สุดจิตก็เปลี่ยนเรื่องไปคิดเรื่องใหม่ ก็เริ่มเรื่องใหม่อีก แล้วกลายเป็นเรื่องใหม่มากขึ้นอีก ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ทั้งสามตัวแสดงอยู่ในโรงละครแห่งนี้ วันๆ มีอยู่แค่นี้เองอารมณ์

          เราไม่รู้จะวางจิตยังไง อยากจะวางอยู่ แต่วางไม่ลง ไม่รู้จะวางตรงไหน? ไม่เป็นไร ใหม่ๆ เราก็ไม่รู้ อะไรเอ่ย? ทำให้กิเลสราคะที่ไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดแล้วย่อมงอกงามไพบูลย์ เรียกว่า “สุภนิมิต” ทีแรกเราเริ่มคิดนิดเดียวภาพที่ตั้งอยู่เรียกว่า “สุภะ แปลว่า งาม” และ “นิมิต แปลว่า เครื่องหมาย” ภาพที่ตั้งขึ้นในจิตเป็นเครื่องหมายแห่งความงามนั้นเอง ราคะที่ไม่เกิดย่อมเกิด ที่เกิดแล้วย่อมงอกงาม นี่คือหน้าตาของกิเลสที่เกิดขึ้น

          วันหลังหน้าตาของกิเลสเกิด อย่าไปเติมเชื้อไฟ อย่าไปคิดตาม ข่มใจ ตัดเลย คิดอะไรก็แล้วแต่ไม่ว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นทำนองเดียวกันหมด ตัดออกแล้วนึกเห็นภาพตัวเองแทน ตัดข้างนอกมิได้หมายถึงดับแล้วก็นิ่งอยู่ เป็นอย่างนั้นก็ไปไม่รอด ดับข้างนอกแล้วไปสร้างความเห็นข้างใน ระหว่างที่ดับกับที่สร้างเวลาเดียวกัน จิตหนึ่งออกคิดไป ตัดแล้วน้อมจิตมาดู เปลี่ยนเรื่องคิดไปเลย

          ความจริงเป็นความคิดเหมือนกันระหว่างข้างนอกกับข้างใน

          ข้างนอก คือ คิดไปในอารมณ์ต่างๆ เดิมทีเขาคิดอยู่แล้ว แต่เราเปลี่ยนความคิดไป คิดในตัวเรา เรียกข้างใน คิดไปข้างนอก เรียกข้างนอก

          เรารู้ตัวว่าจิตคิดข้างในแล้ว กิเลสชนิดนั้นชะงักเลยจิตกำลังปรุงแต่งเพลินๆ เราน้อมจิตดึงกลับมาเลย จากจิตอันเป็นที่ตั้งแห่งความเพลิน ความใคร่ ความยินดี ย้อมใจ เรามักจะเพลิน ตัดอารมณ์ตัดบทไม่ให้จิตตั้งไว้ ตัดแล้วน้อมมา ไม่ควรนิ่งอยู่อย่างเดียว ให้ไปคิดตัวเรา เวลาคิดเห็นตัวเอง จะให้คิดเองไม่ได้ เราต้องสร้างความคิดขึ้นมา สร้างความคิดเกี่ยวกับตัวเราขึ้นมาแทนข้างนอก เช่น การคิดในเรื่องไตรลักษณ์เพียงอย่างเดียว

หลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ