Recent Posts

ดูพฤติกรรมของจิต


          การดูจิต คำว่าดูจิต ดูจิตนะ ส่วนใหญ่เราพูดโดยอนุโลม ส่วนมากดูไม่ถึงจิตหรอก ส่วนมากเราจะไปดูอารมณ์มากกว่า เช่น เราเห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ความสุข ความทุกข์ใดๆเกิดขึ้น เราก็คอยรู้ไปเรื่อยๆ

          เราไม่สามารถเห็นตัวจิตตรงๆได้ ก็อาสัยการรู้จิตตสังขาร คือสิ่งที่ปรุงแต่งจิต แล้วก็เห็นเลย จิตที่มีความโลภ เกิดมาแล้วก็หายไป เกิดจิตไม่โลภ เดี๋ยวก็เป็นจิตที่มีความหลง เกิดแล้วก็หายไป เป็นจิตไม่หลง (กลายเป็น)จิตมีความโกรธ เนี่ยจิตมีโลภ โกรธ หลง เกิดแล้วก็หาย แต่ละอย่างๆ เห็นอย่างนี้ ยังไม่เรียกว่าเห็นจิตหรอก แต่เห็นจิตตสังขาร

          เพราะตัวจิตจริงๆ ไม่มีรูปร่าง แสง สี เสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีอะไร ที่จะให้สัมผัสร่องรอยของมันได้ มันเป็นแต่ธรรมชาติรู้ แต่ถ้าเราฝึกจนชำนิชำนาญนะ

          เบื้องต้น ก็หัดดูความรู้สึกไปก่อน ต่อไป เราก็จะค่อยๆสังเกตเห็นพฤติกรรมของจิต

          ตัวพฤติกรรมของจิตเนี่ย บางทีเราก็รู้สึก จิตมันเหมือนวิ่งไปที่ตา วิ่งไปที่หู วิ่งไปที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ วิ่งไปวิ่งมา เหมือนจิตมีดวงเดียววิ่งไปวิ่งมาได้ อันนี้จริงๆ ก็ยังไม่ใช่จิตอีก เป็นวิญญาณ (วิญญาณขันธ์ ทำหน้าที่รับรู้) ที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ให้ดูจิต เนี่ยไม่ใช่ดูแค่นั้นหรอก นั้นเป็นวิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดดับไปเรื่อยๆ ยังไม่ใช่ตัวธาตุรู้ ดูยากนะ จิตแท้ๆ

          นี้ถ้าละเอียดประณีตขึ้นมาอีกเนี่ย เราดูความไหว ความไหวของจิต เราจะรู้สึก เวลาตัณหาเกิดอยากดูรูปเนี่ย จิตเหมือนจะขยับไป เหมือนจะขยับไปดู เวลาได้ยินเสียง เหมือนจะขยับไปฟัง เวลาได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส เหมือนจิตมันขยับไปจะไปรู้อารมณ์

          แค่จิตมันขยับตัวขึ้นมาก็เห็น แล้วก็ไม่ต้องไปดูนาน คล้ายๆ ดูที่ต้นตอมัน พอมันไหวตัวขึ้นมา ที่หลวงปู่ดูลย์เรียกจิตส่งออกนอก รู้ทันตรงที่จิตส่งออกนอกเนี่ย ไม่ใช่ไปรู้อารมณ์ที่จิตไปรู้เข้า

          แต่ว่าบางคนก็ทำตรงนี้ไม่ได้ ทำตรงนี้ไม่ได้ ก็ดูความรู้สึก ดูอารมณ์ไปก่อน เห็นมันโลภ มันโกรธ มันหลงไป มันสงสัย มันหดหู่ มันว้าเหว่ มันดีใจ มันเสียใจ มันสุข มันทุกข์ เนี่ยหมุนเวียน ดูอย่างนั้นไปก่อน

          เก่งขึ้นมาก็เห็นเลย เดี๋ยวจิตก็วิ่งไปที่ตา วิ่งไปที่หู ถ้าเห็นอย่างนี้ใช้ได้นะ เก่งขึ้นมาเยอะแล้ว ต่อไปนะมันจะรู้อยู่ที่จิต พอจิตจะส่งออกนอกเนี่ยเห็นแล้ว

          คำของหลวงปูดูลย์ลึกซึ้งนะ "จิตส่งออกนอก" มันมีตัณหาขึ้นมาเมื่อไร จิตก็จะออกนอกเมื่อนั้นแหละ มันมีแรงผลัก หรือกิเลสเกิดขึ้นนะ มันเย้ายวน เห็นอารมณ์บางอย่างเย้ายวนใจ เหมือนดึงดูดให้จิตขยับตัวจะวิ่งเข้าไปหา

          เวลาเราดูจิตเนี่ย เราไม่ได้ดูเหมือนเราดูหนัง ถ้าจะดูจิตให้มันลึกซึ้งจริงๆ ไม่ใช่เหมือนดูหนัง การดูจิตตสังขาร(สิ่งที่ปรุงแต่งจิต) เหมือนดูหนัง ดูปลายทางของมัน มันปรุงไปแล้ว มันแต่งไปแล้ว มันทำงานขึ้นมาแล้ว เหมือนเราดูภาพในจอหนัง

          แต่การดูจิตจริงๆเนี่ยนะ เหมือนดูเครื่องฉายหนัง เราเห็นเลยว่ามันเปิดไฟขึ้นมาแล้ว รูปกำลังจะวิ่งไปที่จอหนังแล้ว เห็นตรงนี้นะ ไฟดับวั๊บลงไปเลย ไม่ต้องไปสร้างภพสร้างชาติเสียเวล่ำเวลา

          ถ้าดูไปชำนิชำนาญ ถึงจุดหนึ่งนะ เอาเครื่องฉายหนังนี่ โยนทิ้งไป ทุบซะแหลกละเอียด ฉายอีกไม่ได้แล้ว สร้างภพสร้างชาติอีกไม่ได้ อันนั้น หมายถึงว่า "จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งแล้ว"

          จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง มันสร้างภพสร้างชาติไม่ได้อีกแล้ว งั้นจิตเห็นจิตเนี่ย ก็เป็นมรรคนะ แต่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็น"อรหัตมรรค" เหมือนเราทำลายต้นตอมัน ไม่ได้ไปดูปลายทาง

          แต่พวกเรา สังเกตจิตสังเกตใจของเราให้ดี เราชอบไปดูปลายทาง เราไม่เห็นตรงที่จิตเคลื่อนไป เคลื่อนเข้าไปในจอหนัง เราไม่เห็น เราไปเห็นแต่ภาพในจอหนัง แล้วภาพนั้นไม่นิ่ง ไม่เที่ยง อยากบังคับมัน เที่ยวไปจับรูปในจอ จับก็จับไม่ได้ มันก็ฉายไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน บังคับมันไม่ได้หรอก

          พอสติปัญญาแก่รอบขึ้นมา มันก็จะทวนกระแสเข้าหาจิตหาใจนี่แหละ ทวน ทวน ทวน ทวน เข้ามาจนเห็นเลย มันมีความคันๆ ขึ้นมาก่อนนะ มีความคันๆขึ้นในจิต แล้วมันก็เลยอยากรู้ อยากดู อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากโน้นอยากนี่ขึ้นมา แล้วก็ส่งออกไป เคลื่อนออกไปทำงาน

          ถ้ารู้ทันตรงที่เคลื่อนไป ตอนมันเริ่ม คล้ายๆ มันผงะนิดหนึ่งจะชะโงกลงไปดู เห็นตรงที่มันจะชะโงกลงไปดู แล้วขาดสะบั้นตรงนั้น ก็ไม่ชะโงกหน้า นั่งดูอยู่ห่างๆ มันจะเรียกว่าดู (อย่าง)สักว่ารู้สักว่าเห็นอยู่ เห็นอะไรก็สักว่ารู้ สักว่าเห็น ไม่ถลำลงไปรู้

          เห็นมั้ย คำว่า "ไม่ถลำรู้" ลึกซึ้งนะ ไม่ใช่แค่ว่าลงไปนอนแช่หรอก แค่ผงะเข้าไปนิดเดียวก็ต้องเห็นแล้ว แค่นั้นก็ถลำแล้ว

          งั้นการภาวนาเนี่ย เบื้องต้นก็(เห็น)หยาบๆหน่อย เบื้องปลายก็ (เห็น)ละเอียดขึ้นๆ จะเห็นเลย จิตนี่มันผงะทั้งวันนะ ขยับ ขยับ ขยับ มันหิวอารมณ์นั่นแหละ

          พอรู้ทัน มันก็ดับไป ดับไป เหลือจิตอยู่ ๒ อย่างเอง จิตที่รู้ตัวตื่นอยู่ สักว่ารู้สักว่าเห็นสภาวะอยู่ เนี่ยอันหนึ่งจิตที่ถูกกิเลสตัณหาผลักดัน ขยับตัวไป จะเข้าไปเสพย์อารมณ์นั่นแหละ จะเข้าไปรู้อารมณ์ก่อนนะ อยากรู้อารมณ์ พอรู้อารมณ์แล้วก็ไปเสพย์อารมณ์ พวกเราส่วนใหญ่ จะเห็นตอนมันเสพย์อารมณ์ไปแล้ว

          นี้ค่อยฝึกนะ ต่อไปเหลือจุดที่ปฏิบัตินิดเดียว เหมือนอยู่บนปลายเข็ม คล้ายๆ ถ้าสำนวนโบราณหน่อย เหมือนเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาด ตั้งไว้บนปลายเข็ม เล็กกกก เล็กๆ เล็กนิดเดียวนะ ขยับกลิ๊กหนึ่งก็ตกแล้ว ตกจากยอดปลายเข็มแล้ว

          งั้นอยู่ที่สติปัญญานะ ค่อยฝึก ค่อยรู้ ค่อยดูของเราไป ในที่สุด ใจมันก็สักว่ารู้สักว่าเห็นแท้ๆเลย จิตมันจะขยับไปก็เห็น จิตมันทรงอยู่ก็เห็น เห็นแต่เรื่องบังคับไม่ได้ อันนี้สำหรับพวกปฏิบัติละเอียดนะ

          บางคนไม่ต้องละเอียด บางคนแค่เห็นว่า เดี๋ยวจิตก็สุข เดี๋ยวจิตก็ทุกข์ เดี๋ยวจิตก็เฉยๆ เห็นแค่นี้ก็ได้ บางคนเห็นว่า เดี๋ยวจิตก็โกรธ เดี๋ยวจิตก็ไม่โกรธ บางคนเห็นว่า เดี๋ยวจิตก็เผลอ เดี๋ยวจิตก็ไม่เผลอ
เห็นแค่นี้ก็ได้ ไม่ต้องละเอียดก็ได้

          การเห็นละเอียดเนี่ย มันสำหรับคนบางคน ที่จริตนิสัยละเอียด จะเห็นแต่สภาวธรรมล้วนๆเลย จะว่าดูจิตมันก็ไม่เชิงนะ มันเหมือนเห็นสภาวธรรมล้วนๆเลย ไม่รู้ว่าคืออะไรหรอก เห็นแต่สภาวธรรมบางอย่าง ไหววั๊บ ดับวั๊บ ดับไป ไม่รู้ว่าคืออะไร

          แต่ไม่จำเป็นต้องละเอียด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องพยายามทำให้ละเอียดนะ รู้ได้หยาบๆ ก็รู้ได้หยาบๆไป

          หลวงพ่อตอนหัดแรกๆ ก็ไม่ได้ดูละเอียด แค่เห็นว่าจิตนั้นมันไหลเข้าไปแช่ ไปรวมกับอารมณ์บ้าง จิตมันแยกออกจากอารมณ์บ้าง เห็นขันธ์เนี่ย กระจายตัวออกไปบ้าง ขันธ์รวมกลับมาเป็นตัวเราบ้าง เห็นกิเลสหยาบๆ โลภ โกรธ หลง ฟุ้งซ่าน หดหู่ สงสัย เห็นแต่ของหยาบๆ ดูของหยาบๆไป ไม่จำเป็นต้องพยายามทำให้ละเอียด

          "ของหยาบ หรือของละเอียด แสดงไตรลักษณ์เท่าๆกัน.. "

          แล้วแต่จริตนิสัย แต่บางคน ดูของหยาบแล้วไม่สะใจ สติปัญญามันมากไป ดูของหยาบแล้วมันไม่พอ ก็ดูของที่ละเอียดขึ้น

          แต่ว่า ไม่ว่าสภาวะที่หยาบ หรือละเอียด สภาวะภายใน หรือภายนอกนะ สภาวะที่ใกล้ ที่ไกล สภาวะทั้งหลายทั้งปวง เกิดแล้วดับ

          เห็นแค่ว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ นี่ภาวนาเอาตรงนี้เอง เอาแค่นี้แหละ เห็นว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับไป สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับไปซ้ำแล้วซ้ำอีก ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี บางคน ๓ เดือนก็มีนะ แต่ ๓ เดือน หมายถึงดูเป็นแล้ว ดูเป็นแล้ว ดูลูกเดียวเลย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช