ไม่มีอะไรนอกไปจาก “จิต” ในบรรดาสิ่งที่เรียกว่า “โลก” นี้ เพราะ “จิต” เท่านั้น ที่จะรู้สึกต่อสิ่งนั้น แล้วสิ่งนั้น มันรู้สึกทาง “จิต”
ไม่มีอะไรที่จะรู้สึกได้นอกจากทาง “จิต” เขาจึงพูดอย่างรวบรัดทั้งหมดโดยสิ้นเชิงว่า “ไม่มีอะไรในโลกนี้ นอกจากสิ่งที่ “จิต” รู้
ถ้าไม่มี “จิต” เสียอย่างเดียว “โลก” นี้ก็ไม่มี
"จิต"นั่นเอง ! กำลังถูกอะไรห่อหุ้ม จงพรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง
จงเพ่งกำลังความคิดทั้งหมด ตรงไปยังความหลุดพ้นของจิต ซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ด้วยการหุ้มห่อ..ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องว่าจะไม่มี "ตัวเรา" คือนึกว่ายอมขาดทุน ยอมเสียสละ
ไม่ต้องมี"ตัวเรา"สำหรับจะเอานั่นเอานี่ ได้รับสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยตัดใจเสียว่า"ตัวตน"เท่าที่มีอยู่จริงๆในเวลานี้ ก็ทนไม่ไหวแล้ว เพียงเท่านี้ก็เหลือที่จะแบกจะทนทานได้แล้ว
จงค้นจนกว่าจะพบความจริงที่ว่า เมื่อดูกันเข้าจริงๆ ก็เห็นมีแต่
"จิต นั่นเอง ที่กำลังถูกอะไรห่อหุ้ม" ทำให้เกิดทุกข์ทรมานขึ้น
ถ้าเอาสิ่งที่ที่ครอบงำจิตออกไปเสียได้ มันก็จะเป็นอิสระเอง ภาวะของความทุกข์ก็ไม่มีที่จิตอีกต่อไป ไม่ต้องมี "ตัวเรา" อะไรที่ไหนเลย ความพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาดก็มีได้โดยสมบูรณ์
การทำอย่างนี้จะเป็นการเร็วมาก เป็นการเคลื่อนไปโดยเร็ว อาจจะทันกับเวลา ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ที่พวกเราในที่นี้จะต้องตายก็ได้ ความมุ่งหมายของพุทธศาสนา สอนให้มนุษย์มีใจสูงถึงขั้น "เหนือโลก" หรือหลุดพ้นจากเครื่องพัวพันทั้งปวง ซึ่งเป็นเหตุให้พุทธศาสนามีระดับสูงกว่าศาสนาอื่น อันมีความสูงเพียงขั้นศีลธรรม
ฉะนั้น ความปรารถนาในการ "พรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง" จึงเป็นความปรารถนาที่บริสุทธิ์ตามหลักแห่งพุทธศาสนา การตัดลัดเพ่งตรงไปยัง
ภาวะที่ "ปราศจากความยึดถือของจิต" เช่นนี้ ย่อมจะพบความจริงได้ง่ายและเร็วกว่าที่จะมาตั้งพิธีใหญ่โต ตั้งต้นไล่กันไปตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งจาระไนได้เป็นร้อยๆ พันๆ ชนิด
พุทธศาสนาอย่างเก่าแท้ ซึ่งมีแต่สอนให้ชำระจิตให้หมดจดจากสิ่งห่อหุ้มเป็นข้อสำคัญ และอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของพุทธศาสนา ที่ผิดแผกไปจากศาสนาอื่นๆในโลก ฉะนั้น ถ้าเราพบวิธีที่ว่า ทำอย่างไรความยึดถือว่า"ตัวตน"(ตัวกู-ของกู) จะหมดไปได้แล้ว นั่นก็คือ วิธีลัดสั้นที่สุด
พุทธทาสภิกขุ