(วิธีฝึก นาที 18:57)
ถ้าเริ่มต้นก็มีกรรมฐานเป็นเครื่องอยู่ จะได้สังเกตจิตได้ง่าย
ถ้าชำนาญแล้วไม่ต้องใช้อะไรเลย ใช้จิตนี้แหละเป็นเครื่องอยู่ของจิต
จิตตานุปัสสนาฯเนี่ย ใช้จิตเป็นเครื่องอยู่ของจิต จิตมีราคะก็รู้ จิตมีโทสะก็รู้ จิตมีโมหะ-ฟุ้งซ่าน-เคลื่อนไป อย่างนี้(ก็)รู้ ถ้ายังทำตรงนี้ไม่ไหว ก็มีกรรมฐานสักอย่างหนึ่งเป็นตัวช่วย แล้วคอยรู้ทันจิตที่เคลื่อนไปเคลื่อนมา ศีลจะเกิด เพราะว่ากิเลสเกิดไม่ได้ เนื่องจากเรามีสติ
แล้วการที่เราเห็นจิตเคลื่อน เนี่ยจิตมันฟุ้งซ่าน สติรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านจะดับ สมาธิจะเกิด
แล้วการที่เราเห็นเนี่ย จิตเดี๋ยวก็เคลื่อน-เดี๋ยวก็ตั้งมั่น ๆ ปัญญาจะเกิด จะรู้ว่า จิตที่เคลื่อนก็ไม่เที่ยง จิตที่ตั้งมั่นก็ไม่เที่ยง จิตที่เคลื่อนก็ไม่ได้สั่ง เคลื่อนได้เอง จิตที่ตั้งมั่นรักษาไว้ก็ไม่ได้ (เห็น)เป็นอนัตตา
งั้นเราทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วเรารู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมานั้น ศีล สมาธิ ปัญญา จะเกิดขึ้น "แต่ต้องรู้ทันที่จิตนะ" ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วรู้ลมหายใจ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่เกิด ศีลเกิดที่ลมหายใจมั้ย ?
ศีลไม่ได้เกิดที่ลมหายใจ ศีลเกิดที่ไหน ? เกิดที่ใจ
สมาธิเกิดที่ลมหายใจรึเปล่า ? เราก็หายใจอยู่ตลอด ไม่เห็นมีสมาธิเลย สมาธิก็เกิดที่ใจ
ปัญญาเกิดที่ไหน ? เกิดในร่างกายมั้ยปัญญา ? ปัญญาก็เกิดที่ใจ
งั้นธรรมะทั้งหลายนะ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นประธานของธรรมะทั้งหลายทั้งปวง "เรียนกรรมฐานเรียนให้ถึงใจ" เรียนให้ถึงใจตัวเองเราถึงจะได้ของดี นี่คือการปฏิบัติที่ลัดสั้นที่สุด เรียนเข้ามาที่จิตตนเอง
แต่เดิมหลวงพ่อเชื่ออย่างนั้นนะ แต่หลวงพ่อไม่กล้าพูด เดี๋ยวเขาจะว่า ตัวเองดูจิตแล้ว ก็มาโอ้อวดว่าดูจิตลัดสั้นที่สุด ปรากฏว่าครูบาอาจารย์รุ่นหลังๆเนี่ย เข้าไปขุดธรรมะครูบาอาจารย์รุ่นเก่าๆมา สอนอย่างนี้ทั้งนั้นเลย หลวงตามหาบัวก็สอน หลวงพ่อชาก็สอนดูจิต มีแต่เรื่องจิตทั้งนั้นแหละ นี้คนรุ่นถัดมาเนี่ยมันเรียนไม่ถึงตรงนี้ ก็เลยคิดว่า ครูบาอาจารย์สอนแต่พุทโธพิจารณากาย พุทโธพิจารณากายนั้น เขาก็สอนคนซึ่งยังดูจิตไม่เป็น อย่างเราทำความสงบไป จิตฟุ้งซ่านมากทำอะไรไม่เป็น พุทโธไป แล้วพุทโธไม่เป็น พุทโธไม่เป็น ก็คือพุทโธให้จิตนิ่ง มุ่งไปที่ให้จิตนิ่ง(มุ่งไปที่ความสงบ) ไม่ใช่พุทโธแล้วรู้ทันจิต
หลวงพ่อเนี่ยบุญนะ ได้เรียนจากครูบาอาจารย์รุ่นก่อน ท่านสอนชัดเจนเลย พุทโธคืออะไร พุทโธคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็คือจิตนั่นเอง บางองค์สอนให้บริกรรมนะ พุทโธใจรู้ พุทโธรู้ใจ พุทโธแล้วรู้ทันใจตัวเอง พุทโธเป็นสิ่งที่ใจไปรู้ แล้วพุทโธเนี่ยคอยรู้ใจตัวเอง เนี่ยท่านอาจารย์บุญจันทร์สอนอย่างนี้ (พระอาจารย์บุญจันทร์ จันทวโร วัดถ้ำผาผึ้ง) งั้นครูบาอาจารย์รุ่นเก่านะ พุทโธเพื่อจะรู้ใจตัวเองนะ ไม่ใช่พุทโธเพื่อจะสงบ รุ่นหลังถัดมาเนี่ย เรียนได้ไม่ถึงตรงนี้ ก็เลยไปพุทโธเอาสงบ พอจิตติดสงบเนี่ย ท่านจะให้พิจารณากาย เพื่อให้จิตเคลื่อน ให้จิตมันทำงาน ไม่ให้นิ่ง จิตติดนิ่งติดเฉยเนี่ย ไม่เดินปัญญา ให้กระตุ้นให้คิด ให้คิดๆ จิตจะได้เคลื่อนไหว แล้วมีสติรู้ทันจิตที่เคลื่อนไหวไป
คุณแม่จันดี น้องหลวงตามหาบัวนะ หลวงตารับรองว่าท่านพ้นทุกข์พ้นร้อน ตั้งแต่สิงหาคมปี ๒๕๓๕ คุณแม่จันดีเคยถามหลวงพ่อว่า "ท่านอาจารย์ภาวนายังไง จิตลงที่เดียวกัน" หลวงพ่อบอก หลวงพ่อใช้ลมหายใจ รู้ลมนะ ไม่ใช่รู้(ลม)วิ่งขึ้นวิ่งลงนะ หลวงพ่อรู้ลมแค่รู้ลมกระทบตรงนี้เอง (หลวงพ่อชี้นิ้วไปที่บริเวณรจะงอยจมูก)
รู้การกระทบไปเรื่อย (ลม)กระทบๆๆนะ ลมสั้นหรือลมยาวมันรู้ได้ ถ้า(ลม)มันกระทบยาว กระทบนาน ก็แสดงว่าลมยาว กระทบสั้นๆนะ ลมสั้น ไม่จำเป็นต้องไปไล่ลมขึ้นไล่ลมลง(ในร่างกาย) เวียนหัวนะ ไม่เอาไหนหรอกอย่างนั้นน่ะ ตามตำราชอบสอนให้ไล่ขึ้นไล่ลง(ลม)กระทบเท่านั้นเท่านี้.. เครียด
รู้(ลม)มันแค่(ตรง)นี้นะ(ตรงจะงอยจมูก) แล้วจิตเคลื่อนไปที่อื่น รู้ทัน รู้(ลม)ไปเรื่อย (ลม)กระทบไป ๆ นะ มันจะเปลี่ยนจากการรู้การกระทบ ไปรู้แสงแทน พอจิตละเอียดขึ้นแล้วเนี่ย ลมจะระงับไป กลายเป็นแสงสว่างขึ้นมา แล้วแสงเนี่ย ยิ่งจิตเราสงบนะ แสงจะเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสงบมากนะ แสงจะเข้มปึ๊ดเลย เวลาย่อให้เล็กนะ แสงจะเข้มจัด เวลาเรานึกให้ใหญ่กว้าง กว้าง กว้างนะ เหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์ กว้างๆ แต่เวลาย่อแล้วแสงจะเข้ม เนี่ยเรารู้ แต่รู้แสงเนี่ย ไม่ใช่เพื่อจะรู้แสง ถ้ารู้แสงเพื่อจะรู้แสงเนี่ย จะเป็นหลักของกสิณ จะเล่นกสิณแล้ว จะได้พวกตาทิพย์ พวกอะไรพวกนั้น ได้เจโตฯ ได้อะไรพวกนี้ แต่เราไม่เล่น "เรารู้ทันจิตเอา" เมื่อเป็นแสงสว่าง เรารู้อยู่ จิตอยู่ที่นี่ เรารู้ จิตหนีไปคิดแล้ว เรารู้ จิตเคลื่อนไปเคลื่อนมา เรารู้
คุณแม่จันดีท่านก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นอันเดียวกัน" แต่ท่านไม่ได้ใช้ลม ท่านใช้พุทโธ ท่านบริกรรมพุทโธ จิตอยู่ตรงนี้ท่านบอก ที่เดียวกันเลย(บริเวณจะงอยจมูก) พุทโธ ๆ ๆ ทำไมมันลงตรงนี้เลย ? เพราะว่าชำนาญสมาธิแล้ว กรรมฐานสมถะทั้งหลายนะ ไม่ว่า(สมถกรรมฐาน)อะไรทั้งปวงนะ เวลาที่จิตจะรวมนะมันจะไปรวมผ่านลม เคล็ดมันอยู่ตรงนี้นะ ถึงเราจะทำกรรมฐานอื่นนะ เวลาที่จิตจะรวมนะ มันจะลงมาที่ลม แล้วลมมันเปลี่ยนเป็นแสง มันจะลงที่เดียวกันหมดแหละ
งั้น(คุณแม่จันดี)ท่านพุทโธๆ แล้วท่านคอยรู้ทันจิตที่ไหลไป ในที่สุดจิตก็ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา แล้วก็เจริญปัญญา เนี่ยท่านเจริญปัญญาด้วยการดูกาย หลวงพ่อเจริญปัญญาด้วยการดูจิต อะไรก็ได้ ขอให้สมาธิถูกเท่านั้นแหละ กายก็สอนไตรลักษณ์ จิตก็สอนไตรลักษณ์ เหมือนๆกัน
งั้นจิตเป็นใหญ่เป็นหัวหน้า เป็นประธานของธรรมทั้งหลายทั้งปวง เรียนกรรมฐานนะ หลวงปู่มั่นนะสอนเลย ได้ใจก็คือได้ธรรม เสียใจไปก็คือเสียธรรมไป
งั้นเรียนกรรมฐานนะ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วรู้ทันจิตไป ไม่ได้บังคับจิตนะ บังคับจิตใช้ไม่ได้
(ให้) รู้ทันจิตไป
หลวงพ่อเคยสอนพวกเราบางคนนะ มันดูไม่ออกเลยว่าจิตเคลื่อนไปที่ไหน บอก นั่งอยู่นะ ทำใจให้สบาย นั่งอยู่ แล้วจงใจเลย นึกถึงผม นึกถึงผมแล้ว รู้สึกมั้ย จิตใจไปจดจ่อ concentrate อยู่ที่ผม มันจดจ่ออยู่ที่ผม พอเรารู้ทันว่า ตอนนี้จิตไปจดจ่ออยู่ที่ผม แล้วเปลี่ยนไปอยู่ที่หัวแม่เท้าข้างขวา concentrate เปลี่ยนที่ ต่อไปเวลาจิตมันไหลไปอยู่ตรงไหนนะ มันจะเห็น จะเห็นหมดเลย แต่การฝึกซ้อมอย่างนี้ "อย่าเกินกายออกไป" ให้วนเวียนอยู่ในร่างกายของตัวเอง ๆ ใต้สะดือลงไปไม่ต้องส่ง(จิต)ไป ส่งไปก็แถวเข่า แถวอะไรนี่ ถ้าช่วงนี้ไม่ควรส่งไป ส่งไปแล้วจะกระตุ้นราคะได้ง่าย เดี๋ยวใจจะกระตุ้นราคะตัวเองขึ้นมา
เราไล่(จิต)ไปตามส่วนต่างๆ ตามแขน ตามขา ตามหัว ตามหู ตามจมูก อะไรอย่างนี้ ไล่ๆๆ แค่หน้าอก ไล่แล้วจิตไปอยู่ตรงไหนแล้วคอยรู้ ต่อไปจิตมันเคลื่อนไปที่ไหน เราจะเห็น
ช่วยตัวเองนะ ต้องช่วยตัวเอง ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วก็รู้ทันจิตที่เคลื่อนไปเคลื่อนมา ถ้าดูไม่ออกว่า(จิต)เคลื่อนยังไง พา(จิต)มันเคลื่อนเลย พามันไปจดจ่ออยู่ตรงนั้นตรงนี้ ย้ายที่ไปเรื่อยๆ แล้วต่อไปพอ(จิต)มันเคลื่อนเนี่ยจะเห็นเอง
ที่สอนให้วันนี้ต้องเอาไปทำนะ เพราะทำได้ โอกาสที่เราจะได้มรรคผลในชีวิตนี้ก็มีแหละ ถ้าเราไม่ได้สมาธิที่ถูกต้องมา ไม่ได้จิตกลับมา ไม่มีทางได้มรรคผลหรอก งั้นต้องเอาจิตมาให้ได้ก่อน แต่ไม่ได้บังคับจิตให้นิ่ง บังคับจิตให้นิ่งจิตจะเครียด จิตจะไม่เคลื่อนไปไหนเลย ทื่อๆอยู่อย่างนั้น ซื่อบื้อใช้ไม่ได้
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช