บางครั้งบางคราว จิตของเราผู้ภาวนา
มันเกิดมีอาการที่งุ่นง่าน หงุดหงิด ดิ้นรน สับส่าย หรือว่าเกิดอารมณ์ สัญญาอารมณ์มาก แต่เมื่อมีอาการอย่างนี้เกิดขึ้น เราจะใช้วิธีการภาวนาอย่างนี้ก็ได้ คือ
เอาลมและเอากาย ทั่วไปเป็นที่ตั้ง คือเป็นงานของสติให้มากขึ้น ได้แก่ รู้ลมหายใจเข้า แต่เมื่อเวลาหายใจออกนั้น ให้เราน้อมจิตรำลึกออกไปในไหล่ขวา แขนขวา มือขวา อย่างที่ตำราท่านกำหนดแสดงไว้
หายใจเข้ากำหนดรู้เข้าทางจมูก หายใจออกส่งจิตคือตัวรู้ออกทางไหล่ขวา แขนขวา มือขวา ทะลุปลายมือทั้งห้านิ้ว สักสามครั้ง
แล้วก็เปลี่ยนมาออกทางซ้ายสักสามครั้ง แล้วก็ลงไปขาขวาทะลุปลายเท้า ขาซ้ายทะลุปลายเท้า แล้วก็ปล่อยจิตออก ตั้งแต่ท้ายทอย ลงไปสันคอ กระดูกสันหลัง ลงไปถึงก้นกบ ทะลุก้นกบ หรือเราจะกำหนดรู้ ในขณะหายใจออก เป็นจุด ๆ ไป เช่นอย่างว่า รู้หัวไหล่ ลำแขน ศอก กระดูกแขนแล้วก็นิ้วมือ หรือมือ เป็นระยะอย่างนี้ก็ได้
ผู้ภาวนาอาจจะสงสัยว่า ลมมันจะเดินไปได้ยังไง เพราะไม่ใช่ทางเดินของลม ทางเดินเข้าเดินออกของลมก็คือปลายจมูก แต่ที่ชี้แนะ บอกถึงอุบายนี้ ลมจะยังไม่เป็นไปพร้อม เพียงแต่ใช้สติเป็นเครื่องน้อมไป น้อมรู้ไป ตามจุดนั้นๆ
หรือ
ถ้าเรามีเวลานานๆ ซึ่งเวลาอื่น ไม่ใช่เวลานี้ หายใจเข้าเรากำหนดรู้ลม หายใจออก กำหนดรู้ลม
แล้วก็นึกรู้ถึงผม ถึงขน และฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ไต ปอด พังผืด ไส้น้อย ไส้ใหญ่ อาหารใหม่ อาหารเก่า มันสมองบนศีรษะ ตลอดทั้งน้ำดี เสลด น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำเหลือง น้ำมูก น้ำลาย น้ำเหงื่อ น้ำตา น้ำมันข้น น้ำมันเหลว แล้วก็น้ำมูก สติระลึกรู้ไปตามธาตุดิน ธาตุน้ำ รวมได้ ๓๒ อย่างนี้ด้วยก็ได้
ในคราวที่จิตของเรามันไม่ค่อยกระปี้กระเปร่า ไม่ค่อยจะปลอดโปร่ง ไม่ค่อยจะสะดวกสบาย หรือในคราวที่จิตของเรามันแข็งแกร่งด้วยความดื้อความซน ไม่ค่อยจะยอมจะลง เพียงแค่อุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็
ให้เราเพิ่มงานของสติเข้าไป ได้แก่เอาธาตุ ทำความรู้ในกองธาตุดิน ธาตุน้ำ
ธาตุสองธาตุนี้มันก็พอที่จะกำหนดหมายรู้กันได้ง่าย เพราะมันยังหยาบอยู่ ไม่เหมือนธาตุลม ธาตุไฟ มันละเอียด เราจะกำหนดหมายได้เพียงแค่ความรู้เท่านั้น ยังไม่อาจที่จะเห็นมันได้ เหมือนกับธาตุดินและน้ำ ให้เรากำหนดรู้ระลึกรู้อยู่ในกองธาตุ ไป ๆ มา ๆ จิตของเราก็จะดีขึ้น ความหงุดหงิดมีอยู่ก็จะดับไป ใจที่มากด้วยอารมณ์ ก็จะระงับไป
ส่วนที่ผู้กำหนดลมเข้ากำหนดลมออกได้ชัดเจน แล้วจะขยายลมหายใจไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังปรากฏในตำรานั่น เช่นอย่างว่า หายใจเข้า เวลาออก ออกแขนขวาแขนซ้าย ขาขวาขาซ้าย ท้ายทอยลงไปถึงก้นกบ แล้วกระจายเข้าไปในขั้วหัวใจ หัวใจ ขั้วตับ ขั้วปอด ไส้น้อย ไส้ใหญ่ หรือลงไปในกระเพาะอาหารใหม่ อาหารเก่า หรือหายใจจนสุดท้องน้อย แล้วก็กระจาย กระจายลมออกทั่วตัว อุบายอย่างนี้นั้น เราจะนำไปใช้ได้ ตามที่ท่านเขียนไว้นั้นหมายถึงจิตของเราผู้ภาวนาจับลมได้
กำหนดรู้ลมได้โดยชัดเจนแล้ว จึงขยายกระจายลมที่กำหนดรู้อยู่นั้นให้ไปในส่วนต่าง ๆ ของกาย ดังที่กล่าวแล้ว
เมื่อกระจายลมออกไปได้ เราผู้ภาวนา ถ้าทำได้เราก็จะเห็นและรู้การเดินไปของลม การสัมผัสของลม เหมือนอย่างที่เรารู้ เรารู้ลมอยู่แล้วที่ไหนตรงไหน เรารู้อย่างไร เมื่อเราปล่อยลมออกไปในทิศทางนั้น ๆ ความรู้สึกและสัมผัสมันก็จะเกิดขึ้น เหมือนกับจมูกซึ่งเป็นที่เดินเข้าเดินออกของลม ซึ่งได้รับสัมผัสลมอย่างไร ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายก็จะได้รับสัมผัสและจิตรู้อย่างนั้น เช่นเดียวกันกับรู้อยู่ที่ปลายจมูก
ถ้าสามารถกระจายออกไปได้อย่างนี้ จิตของผู้ภาวนานั้นก็จะสงบมากยิ่งขึ้น การนั่งก็ไม่สู้จะเกิดเวทนา เพราะเวทนาในการนั่งมันเกิดขึ้นนั้นเพราะเลือดลมมันเดินไม่สะดวก ความเป็นเหน็บมึนชา หรือความเจ็บปวด หรือมีอาการร้อนดุจจะไฟลนมันจึงเกิดขึ้น ทีนี้เมื่อเราสามารถขยับขยายกระจายลมไปในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ร่างกายของเราเลือดลมในร่างกายของเราก็ไม่ติดขัด เดินได้สะดวกตามปกติ เวทนาก็ไม่เกิด จะนั่งอยู่ได้นาน ๆ ภาวนาอยู่ได้นาน ๆ เพราะไม่มีเวทนารบกวน
ถ้าเวทนามันเกิดขึ้นตรงไหน ขาซ้ายขาขวา
กระจายลม ปล่อยลมไป สองสามทีมันก็หาย อย่างนี้ เป็นต้น
ฉะนั้น การเจริญอานาปานสตินั้น มิได้เพื่อประโยชน์ในทางจิตอย่างเดียว ประโยชน์ในทางจิตคือทำให้จิตสงบ และในขณะเดียวกันประโยชน์ในทางร่างกาย สุขภาพร่างกายก็ย่อมจะได้รับด้วย ก็ดังที่กล่าวมานั้น เกิดประโยชน์ทั้งในส่วนร่างกายและทางจิต ทางจิตก็คือความสงบ ความสว่าง หรือเป็นความสุขเกิดขึ้น อันนั้นหมายถึงว่าผู้กำหนดลมได้แล้ว
ถ้าจิตของเราเพิ่งเริ่มการภาวนา จิตของเรายังไม่อยู่กับลม สติมักขาดอยู่เรื่อย ๆ เราก็จะกำหนด ทำความรู้ในกายอย่างกว้างขวาง ตามที่กล่าวมาแล้วก็ได้ แต่เราทำความ
รู้ในกายอย่างกว้างขวาง ในขณะที่เราหายใจออกนั้น การทำเช่นนี้นั้นเพื่อเป็นการบริหารหรือภาวนาให้จิตของเรานั้นสงบ หายจากความฟุ้งซ่านอย่างรุนแรง หายจากความพยศที่มีอยู่ในจิต
แต่ลม เราจะไม่เห็นว่าลมเดินไปในจุดหรือในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพราะเรายังกำหนดรู้ลมโดยชัดเจน เข้าและออกไม่ได้ เพราะฉะนั้น มันเป็นไปเฉพาะเรื่องของสติเท่านั้น เป็นการน้อมสติไประลึกรู้ในจุดนั้น ๆ แต่อาศัยสัญญานของการหายใจออกคือลมหายใจออก ทุกครั้งของการหายใจออก เราจะน้อมจิตไปสู่จุดนั้น ๆ
ส่วนหายใจเข้า เราก็กำหนดรู้แล้วก็ตั้งไว้ในฐานเดิม ตั้งแต่เรายกจิตขึ้นสู่ฐานคือลมในเบื้องต้น การภาวนาตอนนี้นั้น เพียงแต่การน้อมสติไป จะยังไม่เห็นลม เมื่อมันจบเราก็วกไปรอบสอง รอบสาม กำหนดทำความรู้อยู่อย่างนั้นแหละ จนกว่ามันจะถึงเวลาเลิกของเราที่ตั้งไว้หรือตั้งใจไว้
ทีนี้ถ้าพูดถึงว่า
มีความสงบแล้ว จิตใจของเราไม่ฟุ้งซ่านแล้ว เราวางกายทั้งปวง ให้เหลือเพียงกายเดียว เพ่งอยู่กายเดียวและก็ฐานเดียว ฐานใดฐานหนึ่ง ฐานประจำก็คือตั้งอยู่ที่ปลายจมูก คอยรู้อยู่ที่ปลายจมูกเข้าออก เหลืออยู่กายเดียวคือลมเข้าลมออก ส่วนต่าง ๆ นั้นวางหมด ปลดปล่อยออกหมด ไม่ระลึกถึง เพราะจิตของเราอ่อนแล้ว อยู่แล้ว ยอมแล้ว จิตยอมอยู่กับลมแล้ว
เมื่อยอมอยู่แล้วเราก็ลดงาน ตัดงานส่วนมากออก ให้เขาทำงานแต่น้อยเหลือกายคือลมอย่างเดียว
กำหนดรู้กายจุดเดียวคือลม แล้วก็ตั้งอยู่ที่ฐาน คือปลายจมูก
เมื่อเราวางงานส่วนมากแล้ว เหลืองานคือลมอย่างเดียว โดยที่จิตของเรานั้น ยอมแล้วอย่างนี้ การรู้ลมก็จะชัดเจนขึ้น ทั้งเข้าและออก ทุกอย่างจะชัดเจน ในระหว่างสติระลึกรู้ลมเข้าลมออก จะเด่นและชัด จะหยาบก็ตาม ชัดก็ตาม จิตเราจะยังไม่ละเอียดก็ตาม มันก็ตั้งอยู่ ไม่ไปไหน
สัญญาอารมณ์จะเกิดก็สักแต่ว่าสัญญาอารมณ์ ไม่อาจที่จะมาจูงใจเราไปลุ่มหลงคิดและเคลิบเคลิ้มไปด้วยได้ ไม่อาจที่จะมาฉุดกระชากลากเอาสติให้ไปรับรู้ในสัญญาอารมณ์นั้น ๆ ได้ สติคงตั้งมั่น แน่แน่วอยู่แต่ลมนั้น ถึงแม้สัญญาทำอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งยังจะมีเกิดขึ้นก็ตาม อันนี้ถือว่า จิตของเรานั้น มีความสงบ จิตของเรานั้นมีความแน่แน่วและตั้งมั่น อยู่กับการภาวนา หรือบริกรรมนิมิต
เมื่อเรารู้ลมได้ชัดเจน ให้เรา
สังเกตดูอาการของลม ขณะที่หายใจเข้าก็ดี ออกก็ดี อาการของลมที่เจืออยู่ในลม เรียกว่าอาการหรือว่า
ลักษณะของลม เช่น หายใจหยาบคือค่อนข้างแรง ละเอียดคือค่อนข้างเบา ระหว่างหยาบ-ละเอียด คือ เป็นลมกลาง นี่เราควรกำหนด ควรทำความเข้าใจ
ทำความรู้ ว่าหยาบหรือละเอียด คำว่าหยาบ-ละเอียดนี้ มันเป็นอาการหรือลักษณะของลม มันมีอยู่กับลม เราก็ควรจะต้องศึกษารู้ ดูให้มันเห็น
อีกประการหนึ่งนั้น ความเย็น ความอุ่น ความเฉย ลมที่เรากำหนด ทำความรู้อยู่ในขณะนั้น นอกจากมันหยาบ หรือละเอียด ปานกลางแล้ว มันยังมีลักษณะอาการที่อุ่น หรือเย็น หรือเฉย ๆ เราก็ควรที่จะต้องศึกษากำหนดรู้
ทีนี้เมื่อเรารู้จักลักษณะอาการของลมในการหายใจเข้าออกอย่างใด ให้เรากำหนดระลึกหมายรู้อาการของลมอย่างนั้น ในขณะที่หายใจเข้าและออก รู้อาการลักษณะของลมอย่างนั้นด้วย ก็เท่ากับว่าเราเพิ่มงาน นอกจากจะรู้ลมแล้ว รู้ลักษณะอาการของลมไปพร้อมด้วย ไม่ใช่รู้ลมอย่างเดียว
การรู้ลักษณะลมและรู้จักอาการของลมไปพร้อมในขณะเดียวกันนี้ อาการและลักษณะของลมเป็นลมที่ละเอียด เป็นงานที่ละเอียด คล้าย ๆ ว่าละเอียดกว่าลม ลมยังหยาบกว่า ลักษณะอาการของมันละเอียดกว่า ซึ่งมันแทรกซึมผสมผสานอยู่ในลมนั้น
เมื่อเราเพิ่มงานให้แก่จิต เป็นไปในลักษณะที่ละเอียด เรื่องของจิตหรือสติของคนเรานี่นะ ถ้าเข้าไประลึกถึงสิ่งใดและก็รู้สิ่งนั้นได้โดยชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ถ้าเป็นไปในขั้นตอนของการเจริญสมาธิภาวนา มันก็จะก้าวไปสู่ความเจริญ คือสงบมากยิ่งขึ้น ละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคือ “ลม” ถ้ามันมีลักษณะที่เย็น บางครั้งหายใจเข้าไปมันจะกระทบครองจมูก โดยเฉพาะริมฝีปากข้างบน รู้สึกเย็น ๆ อย่างนี้เป็นต้น เราก็จะได้สติของเราตั้งไว้ตรงจุดนั้น ยืนรู้เข้ารู้ออกตรงนั้น อย่างนี้
บางทีพอเรามีความเย็นดังกล่าว พอกำหนดรู้ พอจิตเราน้อมนึกให้มันเย็นขึ้น บางครั้งบางคราว มันก็จะเย็นอย่างที่เรานึกเราคิด มันก็จะเป็นไปตามที่เรานึก นึกให้มันเย็น หายใจเข้ามันจะเย็นขึ้น เย็นขึ้น ๆ หายใจออกมันก็เย็น บางทีมันเย็นเสมอกับน้ำแข็งหรือยิ่งกว่าน้ำแข็ง สูดเข้าไปถึงไหนเย็นถึงนั่น
ถ้าเป็นในลักษณะอย่างนี้แล้ว ก็คงสูดไปเลี้ยงร่างกายปล่อยไปแขนซ้าย แขนขวา ขาขวา ขาซ้าย ทั่วตัว กระจายเข้าทั่วตัวออกทั่วตัว ร่างกายจะปลอดโปร่งสดชื่น เอิบอิ่ม จิตใจก็เบิกบาน จะเป็นลมหยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม ลักษณะอย่างนี้จะเรียกว่าปีติ ไม่ใช่ผู้อื่นใดหรอก ก็ทำให้เกิดสุข มันเป็นลักษณะของปีติอย่างหนึ่ง ถ้าเค้าจะเป็นไปแล้ว มันก็ไม่ยาก ถ้าไม่เป็นไปแล้ว น้อมนึกยังไงมันก็ไม่เป็น
หลวงปู่ทอง จนฺทสิริ