หลวงพ่อเคยถามหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ครับ จิตมันตั้งอยู่ที่ไหน ? ตอนนั้นคิดว่าจิตตั้งอยู่ที่หน้าอกนะ เห็นมันไหวๆขึ้นมาเรื่อย
หลวงปู่ครับจิตตั้งอยู่ที่ไหน หลวงปู่ตอบซะหงายท้องเลย จิตไม่มีที่ตั้ง มันไม่ตั้งอยู่นานหรอก มันเกิดที่ไหนมันก็ดับตรงนั้นเลย มันไม่ตั้งอยู่อย่างนั้นหรอกนะ ไม่ใช่ว่าจะเอามาตั้งไว้ที่เดียว
ถ้าเจตนา จะตั้งเอาไว้ที่เดียว กลายเป็นสมถะ เลยเพ่งเอาไว้
เพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว ถ้าเราเห็นละเอียดนะ สติ สมาธิ เราพอนะ เราจะเห็นว่า จิตเกิดที่ตาแล้วก็ดับ จิตเกิดที่หูแล้วก็ดับ จิตเกิดที่ใจแล้วก็ดับ
เรามาทดสอบจิตเกิดที่ตาแล้วก็ดับดู ลองดูพระพุทธรูป ลองดูซิ รู้สึกมั้ย เราเห็นชัดอยู่แว้บเดียว - แล้วก็จะเบลอไป เอ้า.. ดูเข้า เห็นมั้ยเราเห็นได้ชัดแว้บนึงนะ แล้วเราก็ต้องขยับตาใหม่ ดูใหม่ เห็นมั้ยว่าจิตที่เกิดที่ตา เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ...อยู่เรื่อยๆนะ ไม่ใช่จิตมีดวงเดียวหรอก
เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดที่ตานะ ก็เกิดขึ้นชั่วขณะเท่านั้นเอง ที่เราบอกว่าเรามองเห็นอะไรได้ชัดนั้น ความจริงมองหลายครั้งต่อกัน แล้วเราไปอาศัยความจำ คือสัญญานั้นไปจำ
ลองไปมองหน้าตัวเองในกระจก เราจะพบว่าเราไปมองเป็นจุดเล็กๆนะ มองตาข้างซ้ายที มองตาข้างขวาที มองขยับไปขยับมา
อาศัยสัญญาประกอบขึ้นมาจำหน้าขึ้นมา เป็นหน้ารวมๆขึ้นมา อาศัยสัญญา ก็เลยเกิดเป็นตัวเราตัวเขา - เป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย เกิดเป็นความสำคัญมั่นหมายขึ้นมา ลำพังตาเห็นรูปนั้น... ไม่มีตัวมีตนอะไรขึ้นมาหรอก
หูได้ยินเสียงก็ได้ยินมาเป็นขณะๆ หูได้ยินเสียง หูไม่ใช่ว่าได้ยินเสียงหมาเสียงแมว เสียงคนเสียงพูด เสียงชมเสียงด่า ไม่ใช่ เสียงพระเสียงมาร ไม่ใช่ หูได้ยินเสียง เป็นเสียงสูงๆต่ำๆ ทุ้มๆแหลมๆอะไรก็แล้วแต่ อาศัยสัญญามาแปลเสียงแต่ละเสียงที่ต่อๆกัน ก็แปลความหมายออกมา หูได้ยินเสียงก็ได้ยินเสียงแล้วดับ ได้ยินเสียงแล้วดับนะ เกิดดับ เกิดดับ อยู่ที่หู กว่าจะฟังได้ประโยคหนึ่งนะ จิตเกิดดับอยู่ที่หูตั้งเยอะ แน่ะ
อาศัยสัญญาจำไว้ จำไว้พอสมควรแล้วก็ ส่งสัญญาณเข้ามาที่ใจ มาประมวลผลที่ใจ
การประมวลผลที่ใจนั้นจิตเกิดที่จิต เกิดอยู่ที่จิตใจของเรานี้ ไม่ได้เกิดที่ตาที่หูแล้ว เนี่ยถ้าเราภาวนานะ แล้วสติสมาธิเราพอ เราก็จะเห็นว่า จิตมันเกิดดับอยู่ทางทวารทั้ง๖ เกิดที่ไหนดับที่นั่น
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช