เห็นใบไม้ตรงหน้า รู้ว่าเป็นใบไม้ รู้ว่ากำลังเห็นเส้นสายรายละเอียดของใบไม้ นับว่าเป็นสติรู้ว่ากำลังเห็นอะไรในปัจจุบัน แต่นั่นเป็น
สติแบบโลกๆ ที่ใครๆก็เห็นได้ อยู่กับปัจจุบันชนิดนั้นกันได้ โดยไม่ต้องรอพระพุทธเจ้ามาตรัสสอนเสียก่อน
สติแบบพุทธ แบบที่ต้องรอพระพุทธเจ้ามาตรัสบอก คือ สติที่เกิดขึ้นเพื่อรู้ว่า ใบไม้ หรือรายละเอียดในใบไม้
กระทบตาแล้วเกิดความรู้สึกอย่างไร มีความสุขที่ได้เห็น หรือแห้งแล้งอึดอัดกับการเห็น
หรือเห็นแล้วเฉยมาก ไม่รู้สึกอะไรเลย
และที่สำคัญ ความรู้สึกชนิดนั้น เกิดขึ้นแล้วอยู่ได้นานเพียงใด หายใจทีเดียว ก็เลือนไปสู่การรับรู้อย่างอื่น หรือหายใจหลายที กว่าที่ความรู้สึกจะเลือนลง
เมื่อเห็นเข้ามาถึงความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวเดิม ทางความรู้สึก ณ ขณะหนึ่งๆ จึงเรียกได้ว่า
‘รู้ปัจจุบันของกายใจ’ แบบพุทธ
ในทางปฏิบัติ การรู้ปัจจุบันของกายใจ จะเกิดขึ้นไม่ได้จริงอย่างต่อเนื่อง หากขาดเบสิก หากขาดสิ่งที่ถูกรู้ได้เรื่อยๆ พระพุทธเจ้าจึงให้ตั้งหลัก ด้วยสิ่งที่เรารู้ได้ตลอดเวลา ซ้ำไปซ้ำมา ตลอดวันตลอดคืน นั่นคือ
ลมหายใจ เมื่ออยู่กับปัจจุบันของลมหายใจได้เป็น คุณจะเห็นปัจจุบันของกายส่วนอื่นแถมมาด้วย
ปัจจุบันของลมหายใจเป็นอย่างไร?
ของมันมีอยู่แค่นี้ ไม่เข้าก็ออก ไม่ยาวก็สั้น อยู่กับปัจจุบันของลมหายใจเพียงไม่นาน อิริยาบถอันเป็นปัจจุบันจะพลอยปรากฏตาม หลังตรงอยู่หรือหลังงออยู่ นิ่งอยู่หรือขยับอยู่ และเมื่ออิริยาบถปัจจุบันปรากฏต่อใจอยู่เรื่อยๆ แม้โดนด่าให้เจ็บใจ ก็จะสามารถอยู่กับปัจจุบันของร่างกาย ที่มีความเจ็บใจซ้อนอยู่ข้างในกันได้รวมทั้งเห็นว่า กี่ลมหายใจอันเป็นปัจจุบัน จึงเกิด ‘ใจที่หายเจ็บ’ กันได้
รู้กายแบบง่ายๆได้เรื่อยๆ จะกลายเป็นรู้จิต รู้อารมณ์ได้ง่ายๆตามไปด้วย จิตที่เห็นความไม่เที่ยงทางกายใจได้เรื่อยๆ นั่นแหละจิตที่มีสมาธิแบบพุทธ และเมื่ออยู่กับปัจจุบันแบบพุทธ ได้อย่างเป็นไปเอง ตั้งมั่นเป็นหนึ่งอย่างเรียบง่าย คุณจะพบว่าตัวเอง อยู่กับเหตุในปัจจุบันที่ไม่เป็นทุกข์ คุณจะพบว่าตัวเองอยู่กับผลในปัจจุบันที่ว่างอย่างรู้แบบพุทธ
ดังตฤณ