Recent Posts

ทำสมถะ หรือวิปัสสนาอยู่


          การภาวนาไม่ได้ยากอะไรนะ อยู่ที่เราใจถึงจริง ๆ เรียนให้รู้หลัก แล้วก็ลงมือทำจริง ๆ ทำทุกวัน ไม่ละเลย ตอนไหนฟุ้งซ่าน ก็ทำความสงบ ตอนไหนสงบแล้ว มีกำลัง ดูจิตได้ก็ดูจิตไป (ดูกายได้ก็ดูกายไป)

          การดูกายมันมี 2 ขั้น ถ้ากำลังมากพอนะ จะเห็นกายไม่ใช่ตัวเรา กายเป็นก้อนทุกข์ เป็นธาตุ ขั้นนี้คือการเดินปัญญา ถ้ากำลังไม่พอนะ จะรู้อยู่ที่กายเฉย ๆ หายใจออก รู้สึก หายใจเข้า รู้สึก ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึก ขั้นนี้คือการทำสมถะนะ

          ที่จริงดูจิตก็มี 2 ขั้นเหมือนกัน ถ้ากำลังเราพอ ก็เดินปัญญาไป เราจะเห็นความรู้สึกทั้งหลายเกิด-ดับ สุขเกิด สุขดับ ทุกข์เกิด ทุกข์ดับ กุศลเกิด กุศลดับ โลภ โกรธ หลง เกิดแล้วก็ดับ แต่ถ้ากำลังไม่พอ แล้วไปดูจิต มันจะไปดูความนิ่ง ๆ ว่าง ๆ ไปเพ่งจิตอยู่นิ่ง ๆ ก็เป็นสมถะได้เหมือนกัน

          ฉะนั้นเวลาที่เราดูกาย ดูจิต จิตจะพลิกไปพลิกมาระหว่าง การเจริญวิปัสสนากรรมฐานกับสมถกรรมฐาน

          เมื่อไหร่สติระลึกรู้ตัวสภาวธรรม รู้ตัวรูปธรรม ตัวนามธรรม จิตระลึกรู้ความโลภ ความโกรธ ความหลงที่เกิดขึ้น จิตระลึกรู้ความสุข ความทุกข์ที่เกิดขึ้น จิตระลึกรู้ร่างกายที่หายใจออก ร่างกายที่หายใจเข้า อันนี้ยังเป็นการทำสมถะนะ

          เมื่อไหร่จิตเกิดปัญญาเห็น ใช้คำว่าเห็นนะ ไม่ใช่คิด เห็นร่างกายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นจิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือเห็นไตรลักษณ์ อันนี้จะเป็นวิปัสสนา


          ฉะนั้นเวลาเราดูกาย เวลาเราดูจิตนี่นะ ไม่ได้เป็นวิปัสสนาตลอด (ถ้ามีแรงพอ) มันจะพลิกขึ้นมา(เป็นวิปัสสนา) แล้วถ้าแรงไม่พอ มันก็จะพลิกไปอยู่นิ่ง ๆ ไปดูกาย นิ่ง ๆ อยู่ที่กาย ไปดูจิต นิ่งๆ อยู่ที่จิต (เป็นสมถะ)

          ถ้าไม่เคยเรียนเรื่องของจิตสิกขาให้แตกฉาน จะแยกแยะไม่ออกว่า จิตตอนนี้ทำสมถะหรือวิปัสสนา
อย่างเมื่อไปกำหนดรูปนาม ไปรู้รูปรู้นาม แล้วจิตไปเพ่งรูปเพ่งนาม ก็นึกว่าทำวิปัสสนาอยู่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือวิปัสสนูปกิเลส

          ฉะนั้นเราเรียนเรื่องของจิตใจให้ดีว่า จิตอย่างไร ใช้เจริญปัญญา ใช้ทำวิปัสสนากรรมฐาน จิตอย่างไร รู้อารมณ์อย่างต่อเนื่องเป็นสมถะกรรมฐาน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช