เห็นกายโดยความเป็นธาตุ
ขั้นที่ห้าของการฝึกมีสติอยู่กับกาย
การฝึกเห็นกายโดยความเป็นของสกปรกนั้น ช่วยถ่ายถอนจิตออกจากความยึดติดถือมั่นในกาย ทำให้เราเห็นกายเป็นอื่นก็จริง แต่ตัวความรังเกียจเองยังมิใช่ความรู้แจ้งแทงตลอด เรายังกำจัดความหลงผิดเกี่ยวกับกายได้ไม่หมด เมื่อไม่หมดก็ต้องฝึกเพื่อกำจัดต่อไปให้หมด
ความหลงผิดเกี่ยวกับกายอย่างไรอีก? ขอให้ดูจากที่ยังอาจมีความรู้สึกว่าความสกปรกนั้นคือ ‘ตัวเรา’ อยู่ ซึ่งนั่นก็แปลว่าเรายังมองว่ากายเป็นตัวแทนของเรา เมื่อกายสกปรกตัวเราก็สกปรกไปด้วย ทำนองเดียวกับเมื่อครั้งยังไม่ฝึกเห็นตามจริงว่ากายสกปรก ก็หลงนึกว่าตัวเราสะอาด ตัวเราสง่างามเหนือสัตว์อื่น พูดง่ายๆว่ามองกายเป็นอย่างไร ก็รู้สึกว่าตัวเราเป็นอย่างนั้นไปเสียหมด
ในขั้นนี้เราจะฝึกมีสติอยู่กับกายโดยเห็นสักแต่ว่าเป็นธาตุ เห็นให้ซึ้งถึงความจริงว่าธาตุไม่ใช่บุคคล ไม่มีความเป็นบุคคลอยู่ในธาตุ ทำนองเดียวกับที่เราไม่เคยรู้สึกว่าแผ่นดิน ผืนน้ำ กองไฟ และสายลมรอบด้าน เป็นบุคคล เป็นหญิงชาย เป็นตัวเรา เป็นตัวเขา หรือเป็นใครทั้งนั้น
ก่อนเริ่มปฏิบัติเราต้องทำความเข้าใจว่ากายสักแต่เป็นการประชุมของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุหยาบเหล่านี้มาประชุมกันชั่วคราวเป็นรูปหลอกตา แต่ละธาตุมีสภาวะของตนเองต่างไปจากธาตุอื่น จำแนกเป็นข้อๆได้ดังนี้
๑) ธาตุดิน
มีสภาวะแข็ง เป็นของหยาบ ส่วนของกายที่เข้าข่ายธาตุดินได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อเอ็น กระดูก ไขกระดูก มันสมอง ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อุจจาระ หรือของแข็งหยาบใดๆอันเกี่ยวกับกาย เช่นคำข้าวที่กำลังเคี้ยวกลืน ก็จัดเป็นธาตุดินเช่นกัน
๒) ธาตุน้ำ
มีสภาวะเอิบอาบ เปลี่ยนรูปได้ตามแต่จะถูกบรรจุเข้าไปที่ไหน ส่วนของกายที่เข้าข่ายธาตุน้ำได้แก่ เสลด น้ำลาย น้ำเหงื่อ น้ำตา น้ำปัสสาวะ น้ำมูก น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ดี มันข้น เปลวมันเหลว ไขข้อ หรือของเอิบอาบใดๆอันเกี่ยวกับกาย เช่นน้ำที่กำลังล่วงผ่านลำคอ ก็จัดเป็นธาตุน้ำเช่นกัน
๓) ธาตุไฟ
มีสภาวะร้อน แผ่ไปในธาตุอื่นๆแล้วมีผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นได้ ส่วนของกายที่เข้าข่ายธาตุไฟได้แก่ ไออุ่นอันแสดงถึงการมีชีวิต ไอร้อนที่ยังกายให้กระวนกระวาย ไอร้อนที่ยังกายให้ทรุดโทรม และไอร้อนที่เผาอาหารให้ย่อยไป หรือของร้อนใดๆอันเกี่ยวกับกาย เช่นไอร้อนจากแสงแดดที่ทำให้เนื้อตัวอุ่นขึ้น ก็จัดเป็นธาตุไฟเช่นกัน
๔) ธาตุลม
มีสภาวะพัดไหวไปมา เคลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งไม่แน่นอน ส่วนของกายที่เข้าข่ายธาตุลมได้แก่ ลมหายใจ ลมในท้อง ลมในลำไส้ ลมแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ลมพัดขึ้น ลมพัดลง หรือของพัดไหวใดๆอันเกี่ยวกับกาย เช่นลมที่เป่าออกจากปาก ก็จัดเป็นธาตุลมเช่นกัน
เมื่อทำความเข้าใจและแยกแยะส่วนต่างๆของกายโดยความเป็นธาตุทั้งสี่กันแล้ว ขั้นต่อมาคือการ ‘เห็น’ บรรดาธาตุเหล่านั้นด้วยใจ เพื่อความรู้ชัดว่าจะเป็นธาตุในกายหรือนอกกายก็เหมือนๆกัน ใจจะบอกตัวเองถูกว่านั่นไม่ใช่เรา ไม่มีเราอยู่ในธาตุเหล่านั้น
ขอให้คำนึงถึงความจริงว่ากายนี้มีความเป็นที่ประชุมของธาตุทั้ง ๔ อยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่อใดที่มีสติเห็นกาย เมื่อนั้นก็คือโอกาสแห่งการเห็นธาตุ ๔ ได้หมด อิงอาศัยจากขั้นก่อนๆหน้าก็ได้ เพราะล้วนมีกายเป็นที่ตั้งของสติทั้งสิ้น เช่น
๑) ขณะรู้ลมหายใจ
เมื่อรู้ลมหายใจอย่างต่อเนื่องเป็นอัตโนมัติ ให้พิจารณาว่า
ใจเราตั้งมั่นไม่มีความหวั่นไหว เป็นฝ่ายรู้ ส่วนลมหายใจที่เข้ามาและออกไป มีลักษณะพัดไหวไม่ต่างจากสายลมภายนอก ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร เท่านี้ก็ได้ชื่อว่าเห็นกายโดยความเป็นธาตุลมแล้ว
๒) ขณะรู้อิริยาบถ
เมื่อรู้อิริยาบถอย่างคงเส้นคงวา ให้พิจารณาว่า
ใจเป็นของโปร่ง เป็นฝ่ายรู้ ส่วนกายเป็นของทึบ เป็นฝ่ายถูกรู้ เค้าโครงสัณฐานของกายที่เรารู้สึกอยู่ นับแต่หัว ตัว แขนขา ล้วนคงรูปอยู่ได้ด้วยความเป็นของแข็ง ของแข็งไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ด้วยจิตอันตั้งมั่น ไม่รู้สึกว่ามีบุคคลอยู่ในโครงร่าง เท่านี้ก็ได้ชื่อว่าเห็นกายโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ไม่จำเป็นต้องจินตนาการให้เกินเลยกว่าที่กำลังรู้สึกอยู่จริงๆ
๓) ขณะรู้ความเคลื่อนไหวต่างๆ
เมื่อรู้ความเคลื่อนไหวปลีกย่อยที่เกิดขึ้นในอิริยาบถใหญ่ในปัจจุบัน ก็
ฝึกสังเกตว่าความเคลื่อนไหว นั้นๆแสดงธาตุอะไรให้เรารู้ได้บ้าง เช่น การเหยียดและการงอทำให้เรารู้สึกถึงการยืดหดของกล้ามเนื้อ ตรงนั้นคือส่วนของธาตุดิน การกลืนน้ำลายหรือการกะพริบตาทำให้เรารู้สึกถึงความลื่นของน้ำ ตรงนั้นคือส่วนของธาตุน้ำ ความตรากตรำขนาดมีผลให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นทำให้เรารู้สึกถึงความร้อนภายใน ตรงนั้นคือส่วนของธาตุไฟ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ผู้ที่ฝึกรู้สึกตัวมาอย่างดีจะเห็นธาตุได้เสมอ
๔) ขณะเห็นกายโดยความเป็นของสกปรก
เมื่อเห็นกายโดยความเป็นของสกปรก โดยเฉพาะในขั้นที่
จิตตั้งมั่นอย่างใหญ่ สามารถเห็นอวัยวะภายในได้ดุจชำแหละดู ทั้งกระดูก ก้อนเนื้อ และน้ำเลือดน้ำหนองที่ส่งกลิ่นคาวอยู่ เมื่อดูด้วยใจที่วางเฉยเหมือนเป็นของอื่น เศษเลือดเศษเนื้อในนิมิตนั้นจะเห็นไม่ต่างอะไรกับเนื้อสดที่เขาวางขายตามตลาดสด ไม่เห็นมีความเป็นบุคคลหรือตัวตนอยู่ในเลือดเนื้อเลยสักชิ้น ความเห็นด้วยใจที่นิ่ง ว่าง สว่างนี้เอง คือภาวะขั้นสูงของการรู้กายว่าสักแต่เป็นธาตุ
ขอให้ระลึกเสมอว่าการเห็นกายสักแต่เป็นธาตุจริงๆนั้น ต้องอาศัย ‘ใจเห็น’ ขณะที่มีความรู้สึกตัวตามปกติ ไม่ใช่หลับฝันเห็นเป็นตัวอะไรแปลกประหลาด เพราะที่ตั้งของอุปาทานคือกายนี้อันคงรูปยามตื่น ไม่ใช่กายอันปรากฏอยู่ในฝันยามหลับชั่วครู่ชั่วคราว
การเห็นกายโดยความเป็นธาตุแต่ละครั้ง จะสะสมความรู้สึกเหินห่างและวางเฉยในกาย จิตอยู่ส่วนจิต กายอยู่ส่วนกาย ความรู้สึกของเราจะไม่อยากเอากาย ไม่ต้องการเป็นพวกเดียวกับกาย โปร่งเบาเป็นอิสระ แม้กายกำลังนั่งก็เหมือนจิตไม่ได้นั่งอยู่กับกาย แต่แยกเป็นต่างหากออกมารู้ออกมาดูว่าธาตุ ๔ นั่งอยู่ และนั่นก็คือความพร้อมจะสละความหลงผิดติดยึดกายให้เด็ดขาดในขั้นสุดท้ายต่อไป
ดังตฤณ
ที่มา : หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 29