การรู้ธรรมในขั้นพระโสดาบันและการปฏิบัติเพื่อบรรลุอรหัตตมรรค
การรู้โดยไม่คิดนั่นเอง คือ การเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด ตราบใดที่ยังเห็นว่าจิตคือตัวเรา เป็นของ ๆ เรา ที่ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้น ตราบนั้นตัณหาหรือ สมุทัยก็จะสร้างภพของจิตว่างขึ้นมาร่ำไป ขอย้ำว่าขั้นนี้ จิตจะดำเนินวิปัสสนาเอง ไม่ใช่ผู้ปฎิบัติจงใจกระทำ
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเลยที่จงใจหรือตั้งใจบรรลุมรรคผลนิพพานได้ มีแต่จิตเค้าปฏิวัติตนเองไป เท่านั้น
เมื่อจิตทรงตัวรู้แต่ไม่คิดอะไรนั้น บางครั้งจะมีบางสิ่งผุดขึ้นมาสู่ภูมิรู้ของจิต แต่จิตไม่สำคัญมั่นหมายว่า มันคืออะไร เพียงแค่รู้เฉย ๆ ถึงความเกิด-ดับเท่านั้น ในขั้นนี้เป็นการเดินวิปัสสนาขั้นละเอียดที่สุด ถึงจุดหนึ่งจิตจะก้าวกระโดดต่อไปเอง
การเข้าสู่มรรคผลนั้น รู้มีตลอดแต่ไม่คิด และไม่สำคัญมั่นหมายในสังขารละเอียดทีผุดขึ้นมานั้น บางอาจารย์ จะสอนผิด ๆ ว่า ในเวลาบรรลุมรรคผล จิตดับความรับรู้ หายเงียบไปเลย โดยเข้าใจผิดในคำว่า "นิพพานัง ปรมัง สูญญัง" สูญอย่างนั้นเป็นการ สูญหายไปแบบ "อุทเฉททิฏฐิ" สภาพของมรรคผล ไม่ได้เป็นเช่นนั้น การที่จิตดับความรับรู้นั้น เป็นภพชนิดหนึ่ง เรียกว่า"วิสัญญี" หรือ ที่คนโบราณเรียกว่า "พรหมลูกฟัก" เท่านั้นเอง
เมื่อจิตถอยออกจากอริยมรรค และอริยะผลที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่าธรรมเป็นอย่างนี้ สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นต้องดับไป ธรรมชาติบางอย่างมีอยู่ แต่ก็ไม่มีความเป็นตัวตนสักอณูเดียว
นี้เป็นการรู้ธรรมในขั้นของพระโสดาบัน คือ "ไม่เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้แต่ตัวจิตเองเป็นตัวเรา แต่ ความยึดถือในความเป็นเรายังมีอยู่" เพราะขั้นความเห็น กับความยึดนั้น มันคนละขั้นกัน
เมื่อบรรลุถึงสิ่งที่บัญญัติว่าพระโสดาบันแล้ว ผู้ปฏิบัติยังคงปฏิบัติอย่างเดิมนั่นเอง แต่ตัวจิตผู้รู้จะยิ่งเด่นดวงขึ้นตามลำดับ จนเมื่อบรรลุพระอานาคามีแล้ว จิตผู้รู้จะเด่นดวงเต็มที่ เพราะพ้นจากอำนาจของ กาม การที่จิตรู้อยู่กับจิตเช่นนั้นแสดงถึงกำลังของสมาธิอันเต็มเปี่ยม เพราะสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสมาธิ คือ กาม ได้ถูกล้างออกจากจิตหมดแล้ว
ผู้ปฏิบัติในขั้นนี้หากตายลง จึงไปสู่พรหมโลกโดยส่วนเดียว ไม่สามารถกลับมาเกิดในภพของ มนุษย์ได้อีกแล้ว
นักปฏิบัติจำนวนมากที่ไม่มี ครูบาอาจารย์ชี้แนะ จะคิดว่าเมื่อถึงขั้นที่จิตผู้รู้หมดจดผ่องใสแล้วนั้น ไม่มีทางไปต่อแล้ว แต่หลวงปู่ดุลย์ อตุโล กลับสอนต่อไปอีกว่า "พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลาย จิต" จุดนี้ไม่ใช่การเล่นสำนวนโวหารที่จะนำมาพูดเล่น ๆ ได้ ความจริงก็คือสอนว่า "ยังจะต้องปล่อยวาง ความยึดมั่นจิตอีกชั้นหนึ่ง" มันละเอียดเสียจนผู้ไม่ละเอียดพอ ไม่รู้ว่ามีอะไรจะต้องปล่อยวางอีก
เพราะความจริงตัว จิตผู้รู้นั้น ยังเป็นของที่ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ บางครั้งยังมีอาการหมองลงนิด ๆ พอให้สังเกตเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของมัน
แต่ผู้ปฏิบัติที่ได้รับการอบรมเรื่องจิตมาดีแล้ว จะเห็นความยึดมั่นนั้น แล้วไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ รู้ทันเท่านั้น จิตจะประคองตัวอยู่ที่รู้ โดยไม่คิดค้นคว้าอะไร มันเงียบสนิทจริงๆ ถึงจุดหนึ่งจิตจะปล่อยวาง ความยึดถือจิต จิตจะเปิดโล่งไปหมด ไม่กลับเข้าเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ใด ๆ ที่จะพาไปก่อเกิดได้อีก
แยกรูปถอดคือความคิดปรุงแต่งสู่ความว่าง แยกความว่างสู่มหาสูญญตา