Recent Posts

รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจที่รับรู้


          การปฏิบัติต้องระลึกเข้าหาจิตใจเป็น ไม่ว่าจะจิตเข้าไปสู่ความว่างก็ต้องมาดูใจ ในความว่าง ๆ มันก็มีจิตผู้รู้ผู้ดู จิตมาดูจิตได้มันก็ต่อยอด ไม่ใช่เป็นแต่ว่างเปล่า มันมีจิตผู้รู้ผู้ดูที่เป็นปรมัตถธรรม แสดงความเปลี่ยนแปลงเกิดดับอยู่

          เพราะฉะนั้น การจะดูจิตใจ คนใหม่ดูไม่เป็น ก็แนะให้เอาประเด็นมาตั้งไว้ก่อน เช่น เราตั้งประเด็นว่า ใจเราสบายใจหรือไม่สบายใจ แล้วเราตั้งโปรแกรม กดเข้าไป มันก็ไปค้นหาเอง เราก็ตั้งว่าเราจะดูว่าใจขณะนี้ มันสบายใจหรือไม่สบายใจ มันก็จะเข้าไปค้นดู อ๋อ สบายใจ หรือไม่สบายใจ หรือเราตั้งว่าจิตขณะนี้ขุ่นมัวหรือผ่องใส มันก็จะเข้าไปเช็คตรวจสอบ ก็ดูได้ อ๋อ มันขุ่นมัว หรือมันผ่องใส จิตขณะนี้มันโกรธหรือไม่โกรธ พอเราตั้งไว้ มันก็เข้าไปเช็คดู จิตมีราคะหรือปราศจากราคะ จิตขณะนี้มีสมาธิหรือไม่มีสมาธิอย่างนี้เป็นต้น 

          พอเราฝึกดูอย่างนี้บ่อยๆ เข้า มันก็ชำนาญในการเข้าไปดูจิตรู้จิต ต่อไปมันก็ดูได้เลย ไม่ต้องถาม ไม่ต้องตั้งประเด็น สังเกตใจไปได้เลย ดูว่าใจเราสบายใจ ใจเราเป็นสุขเป็นทุกข์ รวมทั้งจิตใจที่เป็นผู้รู้ผู้ดู อันนี้ก็จะดูยากขึ้นไปอีก

          ใจผู้ดูผู้รู้นี้ไม่ใช่เป็นความรู้สึก ไม่ใช่เป็นความรู้สึกสบายใจไม่สบายใจ ไม่ใช่เป็นความรู้สึกสุขทุกข์ มันเป็นสภาพรู้อารมณ์

          อุปมาจิตใจเหมือนเจ้าของบ้าน เหมือนบ้านหลังหนึ่ง มีเจ้าของบ้านอยู่ในนั้น เวลาใครมา แขกมา เจ้าของบ้านก็ออกไปรับแขก พอรับแขกก็จะมีความรู้สึกต่อแขก ชอบแขกบ้าง ไม่ชอบแขกบ้าง คนๆ นั้น เจ้าของบ้านนี่ การรู้สึกต่อแขกกับการออกไปดูแขกเหมือนกันไหม? การไปรับแขก กับการรู้สึกต่อแขก
มันก็อยู่ในคนๆ เดียวกัน แต่มันก็คนละอาการกัน อาการรู้สึกต่อแขกก็อย่างหนึ่ง การรู้แขกก็อย่างหนึ่ง

          ฉะนั้น จิตผู้รู้ผู้ดูเหมือนกับการรู้แขก การมองแขก การเข้าไปรับแขก การรับอารมณ์ ผู้รู้อารมณ์
ส่วนความรู้สึกต่ออารมณ์ก็อย่างหนึ่ง มันก็อยู่ด้วยกัน รู้สึกชอบ รู้สึกไม่ชอบ รู้สึกโกรธ เกลียด เพราะฉะนั้น บางครั้งมันก็ระลึกจิตว่ามีอาการอยู่ ชอบไม่ชอบอยู่ สุขทุกข์อยู่ บางครั้งก็ระลึกรู้จิตในแง่ของการรับรู้รู้อารมณ์

          การกำหนดรู้จิตในแง่ของความเป็นผู้รู้ผู้ดู มันก็มีความจำเป็น นึกถึงภาคบังคับ ถ้าดูไม่เป็นมันก็จะตันอยู่อย่างนั้น ภาคบังคับคือหมายถึงว่าฝึกไปแล้ว ทุกอย่างมันไม่มี ลมหายใจไม่มี ความรู้สึกทางกายไม่มี หนักเข้ามันว่าง จะดูใจว่าสุขทุกข์มันก็เฉยๆ เฉยๆ มันก็เลยไปว่างอีก ถ้ามันมีสุขก็ดูเป็น มันทุกข์ก็ดูเป็น มันสบายใจ ไม่สบายใจ ขุ่นมัว ผ่องใสดูเป็น แต่ถ้ามันเฉยล่ะ ดูจิตเฉยๆ ดูไป เลยไปความว่างอีก
มันก็ต้องกำหนดดูใจที่เป็นสภาพรู้ ในความเฉยมันเป็นธาตุรู้อยู่

          เหมือนเจ้าของบ้านออกไปรับแขก เขาก็รับแขกแบบเฉยๆ แต่เขาก็เป็นการรับแขก หรือเข้าไปดูแขก เขาดูแขกด้วยความเฉยๆ แต่ความเฉยกับการดูแขก หรือการรับแขกมันคนละอย่าง มันคนละแง่กัน
แต่มันก็อยู่ในคนเดียวกัน อันนี้มันมีความจำเป็นที่จะต้องเอามาใช้

          รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจที่รับรู้ หัดฝึกไปเรื่อยๆ

          เดินดูกายเคลื่อนไหว มีใจอยู่ไหมเวลาเดิน? ใจเราก็ไม่ได้ไปเก็บไว้ที่บ้าน มันก็ติดมาด้วย
ยิ่งเวลาปฏิบัติมีการระลึกรู้

          อะไรเป็นผู้ไประลึกรู้ เราจะดูตอนนั้น? ก็คือจิต จิตที่มีสติทำหน้าที่ไประลึกรู้ ไปดูกายเคลื่อนไหว
ดูกายเคลื่อนไหว มันไม่ใช่มีแต่กายเคลื่อนไหว มันมีใจที่รู้อยู่ด้วย เราจะต้องหัดรู้ทั้งสองด้าน

          ด้านหนึ่งคือกายที่เคลื่อนไหว ก็รู้อยู่แล้ว

          ด้านที่สองคือรู้ใจที่กำลังรู้อยู่

          เห็นกายที่เคลื่อนไหว เห็นใจที่รู้ หัดดูใจที่เป็นผู้รู้ผู้ดู มันจะได้ดูได้เก่งขึ้น ถนัดขึ้น เวลาจิตไปสู่ความนิ่งความว่าง ดูใจสุขทุกข์ไม่ออก ก็ดูใจผู้รู้ มันก็เอาไปใช้ได้ทุกอย่าง มองอยู่ก็รู้ใจที่รู้อยู่ ฟังอยู่ก็รู้ใจที่รู้อยู่ด้วย ยืน เดิน นั่ง นอน ก็รู้ใจที่รู้ได้ด้วย แล้วถ้าเรากำหนดดูจิตใจผู้รู้ผู้ดูได้เก่ง มันก็จะคุมสภาพ คุมระบบได้ดี

          ร่างกายเราเหมือนเป็นระบบการทำงานของจิต มันมีเรื่องระบบของมัน เช่น มันมีการเห็นเข้ามา มันมีใจ มีได้ยินเข้ามา มีใจรับรู้ มันมีสัมผัสทางกายเข้ามา มีใจปรุงแต่งนึกคิดรับรู้ ถ้าเรามีสติดูใจไว้ ก็เท่ากับคุมได้หมด กายนี้มันฝึกรู้อยู่แล้ว พอดูใจไว้เรื่อยๆ มันก็จะเห็นความสัมพันธ์ ความเกี่ยวข้องระหว่างสภาวะที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และเข้ามาทางใจ ใจเป็นอย่างไร ใจเกิดปฏิกิริยาอย่างไร ใจรับรู้อย่างไร

          อันนี้คือการศึกษาความเป็นจริงของชีวิต ศึกษาดูไปดูมา มันก็จะ อ๋อ ชีวิตมันเป็นอย่างนี้ ธรรมชาติ คือมันเป็นเพียงธรรมชาติ จิตก็เป็นธรรมชาติ สติที่ระลึกรู้ก็เป็นธรรมชาติ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ก็เป็นธรรมชาติ การเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส สัมผัสทุกอย่างเป็นธรรมชาติ

          คำว่าธรรมชาติก็คือ มันปฏิเสธความเป็นสัตว์เป็นบุคคล หรือว่ามันเป็นสักแต่ว่าธาตุ คือไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา เมื่อรู้อย่างนี้บ่อยๆ เนืองๆ เข้า จะได้ละความเป็นตัวเรา ตัวตนของเรา ที่จะเป็นไปเพื่อความดับทุกข์พ้นทุกข์

หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี