Recent Posts

วิถีแห่งจิต (ในสมาธิ)


          พระพุทธเจ้าปฏิบัติกรรมฐาน ท่านก็อาศัยลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นอารมณ์จิต ท่านปฏิบัติเหมือนที่เราปฏิบัติอยู่เวลานี้ เวลานี้เรามีสติน้อมจิตไปกำหนดรู้ลมหายใจ อันนี้เรียกว่าปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้า

          เมื่อจิตของเรามาจดจ้องอยู่กับลมหายใจอย่างไม่ลดละ แม้จะเป็นไปด้วยความตั้งใจก็ตาม เราตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออกเป็นภาคปฏิบัติ เมื่อเราปฏิบัติจนคล่องตัวชำนิชำนาญ ในที่สุดเราจะรู้สึกว่าไม่ได้ตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจ แต่จิตของเราจะรู้เองโดยอัตโนมัติ เมื่อจิตของเรารู้ลมหายใจ โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ได้ชื่อว่าการภาวนาได้วิตก วิตกคือจิตนึกถึงลมหายใจไม่ลดละ ไม่ขาด เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่จิตไปกำหนดจดจ้องรู้อยู่ที่ลมหายใจเพียงอย่างเดียว ไม่ยอมทอดทิ้งลมหายใจ นั่นแสดงว่าจิตของเรามีสติอยู่โดยอัตโนมัติ คือเราไม่ได้ตั้งใจจะรู้แต่จิตของเรารู้เอง เป็นลักษณะของวิตก ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสมาธิ เมื่อมีสติรู้พร้อมอยู่ สติ จิต ลมหายใจ ไม่พรากจากกัน อันนี้เรียกว่าสมาธิได้วิตกวิจาร จิตยึดเอาลมหายใจเป็นสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติอย่างมั่นคงเมื่อจิตมีวิตก วิจาร เราจะรู้สึกว่ากายเบา จิตก็เบา กายก็สงบ จิตก็สงบ กายเบามีลักษณะเหมือนตัวเองจะลอยขึ้นสู่อากาศ มีความรู้สึกเหมือนกับเราไม่ได้อยู่กับพื้น เบาสบายทุกอย่าง จิตเบาคือจิตปลอดโปร่ง แช่มชื่นเบิกบาน กายสงบหมายถึงสงบจากทุกขเวทนา ความปวด ความเมื่อย จิตสงบนิ่ง รู้อยู่ที่ลมหายใจเข้า หายใจออกตลอดเวลา อันนี้เรียกว่า กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ

          ความเบากาย เบาจิต เป็นอาการของปีติที่บังเกิดขึ้น ปีติที่บังเกิดขึ้นทำให้รู้สึกตัวเหมือนจะลอยขึ้นบนอากาศ ทำให้ขนลุกขนพอง บางทีก็ทำให้ตัวโยกตัวสั่น บางทีก็ทำให้รู้สึกว่าตัวโตขึ้น บางทีทำให้รู้สึกว่าตัวเล็กลง บางทีทำให้รู้สึกเหมือนตัวเราลอยไปในอากาศ อาการทั้งหลายเหล่านี้เป็นอาการของปีติ เมื่อมีอาการอย่างนี้เกิดขึ้น ถ้าจิตยังกำหนดรู้ลมหายใจอยู่ ก็ให้รู้ต่อไป ถ้าลมหายใจไม่ปรากฏ ให้กำหนดรู้จิตเพียงอย่างเดียว แม้จะมีอาการอะไรเกิดขึ้นก็อย่าไปตกใจ ประคับประคองจิตเราให้อยู่ในสภาพปกติ บางทีจะให้รู้สึกว่า ลมหายใจแรงขึ้น ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ บางทีรู้สึกว่าลมหายใจแผ่วเบาลง เบาลง ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่ออาการของปีติบังเกิดขึ้น ทำให้จิตของเราแจ่มใส เบิกบาน มีความสุข ความสบาย หายเมื่อย หายมึน หายงง ทุกสิ่งทุกอย่างคล่องตัวไปหมด เรียกว่าจิตมีปีติ มีความสุข เป็นองค์ประกอบของสมาธิในชั้นฌาน

          เมื่อเป็นเช่นนั้น กายสงบ จิตสงบ จิตก็บ่ายหน้าไปสู่ความสงบเรื่อยไป เมื่อเกิดความสงบแล้ว บางทีทำให้รู้สึกว่า สว่างไสวเหมือน แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ อย่าไปตกใจ กำหนดรู้จิตเราเฉยอยู่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเรื่องที่จิตของเราปรุงแต่งขึ้นทั้งนั้น อย่าไปเอะใจ อย่าไปตกใจ มันเป็นธรรมชาติของจิต ที่ดำเนินเข้าไปสู่ความเป็นสมาธิ บางทีจะรู้สึกว่าลมหายใจหายขาดไป รู้สึกว่าเราไม่หายใจ เพราะลมมันละเอียดไปตามลำดับของจิต แล้วใจที่สุดความรู้สึกว่ามีร่างกายมันก็จะหายไปหมด ยังเหลือแต่จิตเป็นดวงใสสว่าง ลอยเด่นอยู่เพียงดวงเดียว

          ในตอนนี้จิตเข้าไปสู่สมาธิขั้นละเอียดซึ่งเรียกว่า อัปปนาสมาธิ มีลักษณะรู้ ตื่น เบิกบาน จิตแบบนี้เรียกว่า จิตพุทธะ จิตถึงพระพุทธเจ้า จิตเป็น อัตตาทีปะ มีตนเป็นเกราะ คือมั่นคงอยู่ที่จิตอย่างเดียว เป็น อัตตะ สะระณา มีตนระลึกรู้อยู่ที่ตน คือรู้อยู่ที่จิตอย่างเดียว เป็น อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ว่าโดยฌานเรียกว่า อัปปนาฌาน ว่าโดยสมาธิเรียกว่าอัปปนาสมาธิ ว่าโดยจิตเรียกว่า อัปปนาจิต จิตที่สงบ นิ่ง สว่างไสว ไม่มีร่างกายตัวตนปรากฏ เป็นสมาธิในจดุตถฌาน

          ถ้าจิตมีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา พร้อมทั้ง ๕ อย่าง ร่างกายตัวตนยังปรากฏอยู่ เป็นจิตอยู่ในปฐมฌาน

         ทีนี้ถ้าจิตมารู้อยู่ที่จิต มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่งคือรู้อยู่ที่จิตเพียงอย่างเดียว เป็นสมาธิในขั้นทุติยฌาน

          ถ้าอาการของปีติหายไป ยังเหลือแต่สุขกับความเป็นหนึ่งซึ่งเรียกว่าเอกัคคตา เป็นสมาธิในขั้นตติยฌาน 

          ถ้าสุขหายไปเพราะร่างกายหายไปหมดแล้ว ยังเหลือแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่างไสว มีความเป็นหนึ่ง วางตัวเป็นกลางโดยอิสระ ซึ่งประกอบด้วยเอกัคคตา และอุเบกขาคือความเป็นกลางของจิตเรียกว่า สมาธิอยู่ในฌานที่ ๔ อันดับของสมาธิในขั้นของสมถกรรมฐานจะเป็นไปอย่างนี้

          ที่นี้ถ้าหากว่าจิตของเราทรงอยู่ในฌานจนคล่องตัวชำนิชำนาญ ในบางครั้งจิตถอนตัวจากฌานที่ ๔ ที่ ๓ ที่ ๒ ย้อนมาทรงตัวอยู่ในปฐมฌานมีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ในขั้นนี้บางทีจิตของเราอาจจะเกิดความรู้ความคิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

          เมื่อจิตมีความคิดเรียกว่าวิตก สติรู้พร้อมอยู่เรียกว่าวิจาร อาศัยพลังสมาธิ พลังฌานที่ผ่านมาแล้ว จิตสามารถเกิดความรู้ความความคิดขึ้นมาเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะปฏิบัติต่อจิตเช่นนี้อย่างไร เราปฏิบัติต่อจิตเช่นนี้ เมื่อคิดปล่อยให้คิดไป เมื่อจิตเขาคิดขึ้นมาเองปล่อยให้เขาคิดไป แต่ให้มีสติกำหนดรู้ความคิดเฉยอยู่เหมือนกับรู้ลมหายใจในตอนแรก

          มาตอนนี้เราจะได้ศึกษาให้รู้ความเป็นจริงของจิต ความคิดเป็นธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของจิตย่อมมีความคิด ความคิดเป็นอาหารของจิต ความคิดเป็นการบริหารจิตให้เกิดมีพลังงาน ความคิดเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด ความคิดเป็นเครื่องหมายให้เรากำหนดรู้ว่า อะไรเกิดขึ้นดับไป ความคิดเกิดขึ้น ความคิดดับไป เมื่อจิตมีสติกำหนดรู้อยู่เองโดยอัตโนมัติ เรียกว่า การกำหนดรู้ความเกิดและความดับภายในจิต เป็นก้าวแรกของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

          เมื่อเราปล่อยให้จิตของเราคิดไป คิดไป ดูเหมือนเราไม่ได้ตั้งใจจะคิดแต่จิตคิดขึ้นมาเอง ดูเหมือนเราไม่ได้ตั้งใจจะรู้ แต่ตัวรู้คือสติจะกำหนดตามรู้เองโดยอัตโนมัติ ปล่อยให้คิดไป เพราะความคิดเป็นวิตก ตัวรู้นั่นเป็นวิจาร เมื่อจิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก เขาย่อมมีความดูดดื่มซึมซาบในอารมณ์ แล้วจะเกิดอาการกายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ แล้วก็เกิดมีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง เมื่อร่างกายยังปรากฏในความรู้สึก ความคิดมันจะเร็วขึ้น ๆ สติก็จะทำหน้าที่กำหนดความรู้ไปจนกว่าจะสุดช่วง เมื่อจิตของเราคิดไป จนสุดช่วงแล้ว เขาจะหยุดกึกลงไป นิ่ง แล้วก็สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน เข้าไปสู่ฌานที่ ๔ อีกครั้งหนึ่ง ไปสงบนิ่งอยู่พอสมควร

          พอจิตถอนจากสมาธิออกมา พอรู้สึกว่ามีกาย ความคิดจะเกิดขึ้นอีก ความคิดคราวนี้จะเป็นความรู้ไปทางด้านวิปัสสนา เขาจะรู้ว่า อ้อ! ความคิดเป็นอาหารของจิต ความคิดเป็นการบริหารจิต ความคิดเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด ความคิดเป็นเครื่องหมาย ให้เราสามารถกำหนดรู้ว่า อะไรเกิด ดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถ้ามีสติปัญญาแก่กล้ากว้างขวางกว่านี้ ก็จะเกิดความรู้ขึ้นมาว่า ความคิดนี้เองมันมายั่วยุให้เราเกิดกิเลสและอารมณ์ แล้วทำให้เกิดความพอใจ ไม่พอใจ ถ้าเกิดความพอใจ ก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ใจเป็นสุข ถ้าเกิดความไม่พอใจ ก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค ทรมานจิตให้เป็นทุกข์

           เมื่อผู้ปฏิบัติมีสติสัมปชัญญะ รู้พร้อมเป็นอัตโนมัติอยู่ที่จิต เมื่อพลังของสติแก่กล้าขึ้น เขาจะอ่านความสุข ความทุกข์ออกมาเป็นภาษาเป็นความรู้ คือเขาจะรู้ว่านี่คือทุกขอริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วจิตดวงนี้จะสามารถกำหนดรู้สุข รู้ทุกข์ไปเอง พอกำหนดรู้สุขรู้ทุกข์ไปเองในที่สุดก็เกิดความรู้ว่า นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรอับ ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นดับไป เมื่อจิตถอนจากสมาธิมาแล้วก็จะได้ความรู้เป็นบทสรุปความครั้งสุดท้ายว่า ยังกิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ก็ได้ดวงตาเป็นธรรม รู้แจ้งเห็นชันในอริยสัจ ๔

          อริยสัจ ๔ สุข ทุกข์ ปรากฏ ทำให้จิตมองเห็นความทุกข์ ซึ่งเรียกว่าทุกขอริยสัจจิต กำหนดหมายรู้ทุกข์เป็นอารมณ์ กำหนดรู้เพียงแค่เกิด-ดับ เกิด-ดับ เมื่อเกิดมีความยินดี จิตก็จะรู้ว่านี่คือกามตัณหา ถ้าจิตมีความยินร้ายไม่พอใจ นี่คือตัววิภวตัณหา ในเมื่อเรามีความพอใจ ไม่พอใจ สุขและทุกข์ก็ย่อมบังเกิดขึ้น ทำให้จิตของผู้มีปัญญาเกิดความรู้ขึ้นมาว่า นี่หนอคือตัวสมุทัย อันเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ท่านบัญญัติว่าเป็นทุกขสมุทัย ทุกขสมุทัยตัวนี้มันเกิดเพราะความยินดี เกิดเพราะความยินร้าย ซึ่งเรียกว่ากามตัณหา วิภวตัณหา ในท่ามกลางของกามตัณหา วิภวตัณหา จิตไปยึดมั่นถือมั่นอยู่ที่สุขที่ทุกข์ ก็เป็นภวตัณหา ก็ก่อทุกข์ก่อชาติก่อภพขึ้นมา จิตก็มีอารมณ์ปรุงแต่ง

          ทำไมมันจึงเกิดทุกข์ ทำไมมันจึงเกิดสุข ความปรุงแต่งของจิตว่าทำไมมันจึงเกิดทุกข์ ทำไมมันจึงเกิดสุข อันนี้เป็นตัวสังขาร สังขารา อนิจจา สังขารคือความปรุงแต่ง เป็นสภาวะที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ ที่นี้ในเมื่อจิตของเราไม่ยึดมั่นในสุขและทุกข์ ไม่มีความยินดี ไม่มีความยินร้าย ไม่มีกามตัณหา ไม่มีวิภวตัณหา หรือภวตัณหา จิตก็เป็นกลาง ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้น ๆ ทรงสมาธิอยู่ด้วยความมั่นคง จิตมีสติสัมปชัญญะ รู้พร้อม สามารถประคองจิตให้สงบนิ่ง เด่นอยู่ท่ามกลางสุขและทุกข์ ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้น ๆ จิตเป็นกลางโดยเที่ยงธรรม ไม่มีความยินดี ไม่มีความยินร้าย ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ทุกข์ดับไป ในเมื่ออาการของทุกข์ดับไป จิตเป็นกลาง เป็นนิโรธะ คือนิโรธความดับทุกข์ ในเมื่อจิตเป็นกลางโดยเที่ยงธรรม จิตก็เป็นปกติตามปกติของจิต นั่นแหละคือศีล ความมั่นคงของจิตคือสมาธิ ความรู้รวมอยู่ที่จิตเรียกว่าปัญญา นี่ผลงานซึ่งจะเกิดจากการปฏิบัติ

          ที่นี้ในบางครั้ง นักเรียนภาวนาอะไรก็ตาม ภาวนาพุทโธก็ตาม ยุบหนอ-พองหนอก็ตาม สัมมาอรหังก็ตาม เมื่อจิตสงบ นิ่ง สว่าง บางทีเราจะมีความรู้สึก เหมือนความสว่าง พุ่งออกไปทางหน้าผาก เหมือนไฟฉาย เมื่อเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ให้กำหนดรู้จิตเฉยอยู่ บางทีจะเกิดนิมิตเห็นคน เห็นสัตว์ เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งแล้วแต่จิตจะปรุงเป็นมโนภาพขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนั้นให้กำหนดจิตวางเฉย อย่าไปเกิดเอะใจ ตกใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเรื่องของจิตเราสร้างขึ้นทั้งนั้น เขาสร้างขึ้นมาทำไม สร้างขึ้นมาเพื่อสอนตัวเอง จิตสร้างเรื่องราวขึ้นมาสอนตัวจิตเอง เมื่อจิตมีความคิด มีความรู้ มีนิมิต แต่จิตมีสติสัมปชัญญะ รู้พร้อม เรียกว่า อัตตะโน โจทะยัตตานัง จิตจะมีสติเตือนตนเองโดยอัตโนมัติ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติสมาธิเข้าถึงแนวทางที่ถูกต้องเป็นสัมมาสมาธิ

          ที่นำเรื่องการกำหนดรู้ลมหายใจมากล่าวขึ้นก่อน ก็เพราะเหตุว่า พระพุทธเจ้าของเราปฏิบัติตามแนวทางนี้ ท่านจึงได้สำเร็จ เป็นพระพุทธเจ้า ทีนี้การบริกรรมภาวนา พุทโธ ยุบหนอ-พองหนอ สัมมาอรหัง เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิแล้ว จิตจะไม่ท่องบริกรรมภาวนานั้น ๆ จะไปหยุดนิ่งเฉยอยู่ เป็นจิตว่าง ๆ เมื่อจิตมีความว่าง ในขณะที่ว่างนั้น ว่างคือว่างจากความคิด ว่างจากความรู้ ไปนิ่งว่างอยู่เฉย ๆ บางทีก็รู้สึกแจ่ม ๆ บางทีก็รู้สึกสว่าง ในช่วงที่จิตว่างอยู่นั้นเอง จิตเขาจะไปรู้ลมหายใจเองโดยอัตโนมัติ แล้วจะตามลมหายใจเข้าไปสงบ นิ่ง สว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย

          การกล่าวถึงเรื่องสมาธิก็ยุติไว้เพียงขั้นนี้ก่อน ถ้าหากเวลาเราทำสมาธิด้วยบริกรรมภาวนา ถ้าภาวนาไปมีอาการเคลิ้ม ๆ เหมือนกับง่วงนอน ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าหากว่าจิตหยุดบริกรรมภาวนาไป นิ่ง ว่างอยู่เฉย ๆ ก็ไม่ต้องไปนึกคิดอะไร ปล่อยให้ว่างเฉยอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องย้อนกลับมาหาบริกรรมภาวนาอีก เช่น ผู้ที่ภาวนา ยุบหนอ-พองหนอ ยุบหนอ-พองหนอ พอจิตสงบวูบลงไปนิ่ง มันจะปล่อยวางคำว่า ยุบหนอ-พองหนอ ให้มันว่างอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องมานึกยุบหนอ-พองหนออีก ทีนี้ในช่วงที่ จิตว่างอยู่นั้น ถ้าจิตว่างอยู่เป็นชั่วโมง ก็ปล่อยให้ว่างไป แต่ถ้าในช่วงนั้น จิตเกิดมีความคิดความรู้ขึ้นมา ถ้าคิดไม่หยุด ก็ปล่อยให้คิดไป แต่เราจะมีสติตามรู้ความคิดโดยอัตโนมัติ

          ช่วงที่จิตมีความคิดเกิดขึ้น มีสติกำหนดตามรู้เรียกว่า เจริญวิปัสสนา ความจริง คำว่าสมถะก็ดี วิปัสสนาก็ดี เป็นแต่เพียงชื่อของหลัก และวิธีการปฏิบัติเท่านั้น การปฏิบัติด้วยบริกรรมภาวนา พุทโธ ยุบหนอ-พองหนอ สัมมาอรหัง เรียกว่า ปฏิบัติตามหลักและวิธีการของสมถะ ถ้าหากเราปฏิบัติด้วยการกำหนดตามรู้ความคิด หรือเราหาเรื่องราวมาคิดพิจารณา พิจารณาไปจนกระทั่งจิตมีอากาสงบ อันนี้เรียกว่า ปฏิบัติตามวิธีการของวิปัสสนา จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติทั้ง ๒ อย่างนี้ เพื่อให้จิตสงบเป็นสมาธิ ตั้งมั่นแน่วแน่ เกิดสติคือรู้ว่านี่คือสมาธิ ทีนี้จิตไปนิ่งรู้อยู่เฉย ๆ ก็จะรู้ว่านี่คือจิต พอจิตไหวตัวเกิดวามคิด ก็จะรู้ว่านี่ ความคิดและอารมณ์เป็นธรรมชาติของจิต การมีสติกำหนดรู้ความคิด เรียกว่ากำหนดรู้ธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของกายคือการหายใจ ธรรมชาติของจิตคือความคิด นี่ให้กำหนดรู้ธรรมชาติสองอย่าง

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ที่มา : dharma-gateway