Recent Posts

ไม่ต้องไปตามรู้ มันก็มาให้รู้


          ถ้าเราฝึกจิตใจฝึกสติมามากแล้ว แม้ทำจิตใจเฉย ๆ ทำเป็นไม่ดูอะไร ไม่ต้องไปตามรู้อะไร ไม่รู้มันก็รู้อยู่ดี เราสังเกตดู พอใจอยู่นิ่ง ๆ ปล่อยใจอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องไปพยายามดูอะไร มันยังรู้อยู่ไหม สภาวธรรมมันมาให้รู้ไหม ถ้ามันมาให้รู้แสดงว่าไม่ต้องไปตามรู้ มันก็มาให้รู้ หยุดใจไว้นิ่งๆ ไม่วิ่งจับอารมณ์

          ก่อนหน้าเราตามจับอารมณ์อยู่เลยกลายเป็นเพ่ง อันนี้ต้องปล่อยวางอยู่เฉยๆ แต่มันก็ยังมาให้รู้อยู่ดี รู้แบบนี้มันจะเป็นกลาง จิตมันจะเป็นกลางได้

          แต่ถ้าปล่อยแล้วผล็อยหลับนี่ไม่ได้ หย่อนแล้ว ถ้าปล่อยแล้วผล็อยหลับมันก็ต้องปรับอีก ต้องรู้สึกตัวขึ้นมาแทน คือปล่อยแบบรู้สึกตัว ถ้าปล่อยแล้วผล็อยหลับมันต้องรู้สึกตัวอีก ให้ใจมันตื่นตัวไว้ ใจมันตื่นรู้ไว้ มันก็คือต้องดูใจ ให้ใจมันตื่นรู้ตื่นดูอยู่ ถ้าเกิดความรู้พร้อมขึ้น รู้ทั้งกายทั้งใจ รู้ตัวทั่วพร้อมขึ้นมา

          การชำนิชำนาญมีความช่ำชองเชี่ยวชาญ มันอยู่ที่การที่เราฝึกมาก ซักซ้อมมากฝึกมาก มันจึงเชี่ยวชาญชำนาญการ วางใจได้พอดีเป็นกลาง มันจึงต้องอยู่ที่การฝึก ไม่ใช่เราฝึกน้อยแล้วก็มาเพ่งเพื่อจะให้มันได้ ไปเร่ง ไปบีบ ไปบังคับ มันก็จะตีกลับมาให้เคร่งเครียด เคร่งตึง วุ่นวาย 

          ถ้าจิตที่ฝึกไว้ชำนิชำนาญ มันวางอยู่เฉยๆ วางอยู่ปกติมันก็สามารถที่จะรู้ได้ รับรู้รู้สึกสภาวะธรรม อย่างสภาวะที่กายเรา ก็ไม่ต้องไปจ้องดูแต่ก็สามารถจะรับรู้ได้ โดยไม่ต้องเข้าไปเพ่งจ้องที่กาย เอาใจอยู่กับใจแต่ว่ามันก็มีกระแสไปรู้ที่กาย โดยไม่ต้องไปเพ่งที่กาย ใจมาอยู่ที่ใจ แต่มันเปิด มันมีกระแสการรับรู้ทางกาย ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็จะไม่ลืมใจ มันจะไม่ทิ้งจิตใจไปไหน

          ถ้าเราไปเพ่งกาย มันทิ้งใจ ได้กายอย่างเดียว จะมาดูใจก็ต้องวิ่งกลับมาอีก แต่ถ้ามีการรู้สึกตัวทั่วพร้อม จิตรู้อยู่ที่จิตแต่ว่ามันก็มีกระแสไปรู้สภาวะที่กายได้ ถ้าใจมันเปิดมันตื่นรู้ขึ้นมา

          ถ้าทำแบบนี้ก็จะทำให้เกิดความรู้ตัวทั่วพร้อม ความรู้ตัวทั่วพร้อมก็คือ มันรู้ใจด้วย มันรู้สภาวะที่กาย ทางใจ ไม่ทิ้งใจ ดูใจมันก็รู้กาย กายหมายถึง รู้ในความรู้สึกต่างๆทั่วร่างกาย ดูใจอยู่ เอาจิตใจอยู่กับใจแต่มันก็รับรู้สภาวะที่กาย จึงเรียกว่ารู้ตัวทั่วพร้อมในปัจจุบัน มันรู้ได้ทั้งหมด มันเปิดกว้าง เปิดการรับรู้ทั้งหมด

          ฉะนั้น มันอยู่ในสายตาทั้งหมด เหมือนเรามองอะไร เราไม่ได้ไปเน้นเป็นจุดๆเป็นส่วนๆ เรามองให้มันกว้างขึ้น มันก็จะมองได้ทั้งหมดในคราวเดียว มองทั้งหมดแต่ในนั้นก็สังเกตย่อยได้ด้วย การจะมองกายได้ทั้งหมดคราวเดียว มันต้องไม่แนบลงไปใจมาอยู่ที่ใจแล้วก็เป็นกระแสที่จะรู้ทั่วถึงกายทั้งหมด ฉะนั้น มันมีความชำเลืองมอง มันมีกระแสเชื่อมถึงกัน เหมือนเรามองคนตรงหน้า แต่เราก็สามารถเห็นคนข้างๆโดยที่เราไม่ต้องหันไป ถ้ามันมีการเปิดใจ ชำเลืองมองได้ทั้งหมด การระลึกรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นอย่างนั้น

          ถ้าเราเปรียบเทียบร่างกายเหมือนประเทศไทย เราจะดูแลคนทั้งประเทศ ถ้าเราอยู่พื้นราบเราก็ต้องเลื่อนไปเลื่อนมา ไปภาคเหนือไปภาคกลางเลื่อนไปภาคใต้ ไปภาคใต้ทิ้งภาคเหนืออยู่อย่างนั้น ต้องไปมา เหมือนเราแนบลงไปดูศีรษะ ลืมท้อง ลืมลำตัวส่วนขา ลืมหมด เราจะไปดูท้องก็ต้องเลื่อนมาที่ท้อง
นึกจะดูขาก็เลื่อนไปขา มันก็จะทิ้งส่วนหัวหมด ต้องเลื่อนไปเลื่อนมา เหนื่อยด้วยแล้วก็ไม่ทัน เราจะมองทีเดียวให้รับรู้ทั้งตัวได้อย่างไร? เราต้องมีระยะห่าง อย่างประเทศไทยถ้าจะมองทั้งประเทศ ส่องมาจากดาวเทียม อย่าว่าแต่ประเทศไทยทั้งประเทศเลย ทั้งโลกก็รับรู้ได้

          เหมือนจิตเป็นตัวส่องรู้ ถ้าจิตมันมีระยะการส่องกาย จิตที่รู้มันอยู่ส่วนไหนของกาย? มันคงไม่ได้ไปอยู่ตามขาตามเท้า มันอยู่ส่วนไหน? ค่อนข้างจะอยู่ข้างบนใช่ไหมตำแหน่งของมัน เราก็ปล่อยให้มันอยู่ที่ตำแหน่งของมัน แต่ว่าให้มันมีกระแสที่จะรู้กายได้ทั้งหมด ครอบคลุมกายได้ทั้งตัวโดยไม่ต้องวิ่งไปหา
อยู่ตรงนี้เราก็มองไปตรงโน้น โดยไม่ต้องไปที่ตรงโน้นก็ได้ จิตอยู่ที่จิตแต่ก็สามารถจะมองรู้กายโดยไม่ทิ้งจิต อย่างนี้มันจะไม่เข้าไปเพ่งกายแล้วก็จะไม่ลืมใจ ใจมันก็จะไม่ลืมใจแต่มันก็สามารถจะรู้กายได้ด้วย กายก็รู้ในความรู้สึก รู้ในตัวสภาวะ ได้รู้รูปร่าง รูปร่างเป็นสมมติ มารู้ที่ความรู้สึกต่างๆที่มันมีอยู่ทั่วตัวทั่วกาย

          การรู้นั้นเป็นการรู้ที่ละวางอยู่ เป็นการรู้ที่ไม่ทะเยอทะยาน รู้สักแต่ว่ารู้ จิตที่รู้นั้นมันก็จะผ่องใส ถ้าจิตผู้รู้มันวางอยู่มันปล่อยอยู่ มันก็จะเป็นจิตที่รู้อย่างผ่องใส รู้ตื่น มีทั้งรู้ มีทั้งตื่น มีทั้งเบิกบานในจิต จิตที่มันปล่อยมันจะเบิกบานได้ จิตที่มันรู้จิต จิตที่ไม่ทิ้งจิตมันจะทำให้จิตมีความตื่น มันจะตื่น มันจะสว่างใจ
เหมือนว่ามันถูกเจียระไน จิตมันก็ใส จิตมันก็ตื่น เรียกว่าจิตมันมีสัมปชัญญะมากขึ้น เราฝึกให้จิตรู้จิตจิตมันจะมีความตื่น มีสติสัมปชัญญะ มันจึงเป็นการรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างสบายๆ รับรู้สภาวะทั้งหมดอย่างสบายๆ ไม่ต้องไปค้นหา ไม่ต้องไปฝักใฝ่ ไม่ต้องเลื่อนไปเลื่อนมา

          หรืออุปมาถนนด้านหน้า ถนนด้านหลัง ถนนด้านซ้าย ด้านขวา มีรถวิ่งอยู่ทุกเส้นถนน เราจะดูอย่างไรให้มันผ่านสายตาเราทั้งหมด ถ้าเราวิ่งไปถนนหน้าเราก็ลืมถนนด้านหลังด้านซ้าย รถผ่านไปเยอะแยะ กลับมาดู รถไปไหนๆแล้ว ไปซ้ายทีขวาทีก็ไม่ทันกิน เราจะรู้ทันได้อย่างไรในคราวเดียว? ก็ไปยืนอยู่ป้อมสี่แยก อยู่ป้อมสูงๆตรงนั้น รถจะผ่านมาทางหน้าทางหลังซ้ายขวาเห็นหมด สบาย รถจะมาทางไหนเห็นหมด เหมือนกัน ทำอย่างไรถึงจะรู้ใจก็รู้อยู่ รู้กายก็รู้อยู่ แล้วกายทั้งตัวทุกสัดส่วนของสรีระร่างกาย
อยู่ในสายตา อยู่ในการรับรู้ทั้งหมด รวมทั้งการเห็นการได้ยิน ถนนทุกเส้นสายอยู่ในสายตาของการดูแลทั้งหมดทำได้อย่างไร? เหมือนมันอยู่ในศูนย์กลาง

          ดูจิตก็ไม่ทิ้งจิต แต่ก็ไปสัมผัส ไปมีกระแสรู้กายได้ด้วย รู้กายมันก็ไม่ทิ้งจิต รู้จิตมันก็รู้กาย รู้กายมันก็ไม่ทิ้งจิต เพราะมันไม่มีการเข้าไปเพ่ง ถ้าเราไปเพ่งจิตมันจะไปแนบติดกายส่วนนั้น มันก็จะดึงส่วนอื่น ทิ้งส่วนอีก ดึงจิตอีก

          ฉะนั้น วางใจอยู่เป็นกลางๆระหว่างกายใจ ดูแลสภาวะทั้งหมด อะไรจะเกิดขึ้นอะไรจะปรากฎในกาย ที่ใจ ส่วนใดๆก็ตาม รวมทั้งการดูการฟังมันก็มีสติที่จะรู้ ดูอยู่มองอยู่ก็ไม่ลืมตัว ถ้ามองแล้วลืมตัวจิตมันก็ส่งออกนอก ลืมหมด มองแล้วไม่ลืมตัวมันก็จะรู้ในตัวอยู่ เรียกว่ามองอย่างมีสติ หรือฟังอยู่ก็ไม่ลืมตัว

          ถ้าเราฟังแบบลืมตัวมันจะไหลไปตามสิ่งที่เราฟัง สภาวะที่กายที่ใจมันลืมไปหมด แต่ถ้ามีการฟังอย่างรู้ตัว ฟังก็ฟังอยู่รู้ สติที่จะรู้สภาวะในตัวก็รู้อยู่ เรียกว่าฟังอย่างมีสติ มองก็ไม่ลืมตัว มองอย่างมีสติ
ฟังอย่างมีสติ พูดอย่างมีสติ เคลื่อนไหวอย่างมีสติ ยืน เดิน นั่ง นอน ขยับเขยื้อน ไม่ลืมตัว ไม่ลืมกาย ไม่ลืมใจ เรียกว่าเป็นการเจริญสติอย่างรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ นี่ก็เป็นการนำมาใช้กับชีวิตประจำวันได้

          ในชีวิตประจำวันเราต้องมียืน เดิน นั่ง นอน เดี๋ยวมีการมอง เดี๋ยวมีการฟัง เดี๋ยวมีการพูด เดี๋ยวมีการคิด ถ้าลืมกายลืมจิตมันก็ไปคิดนอกตัว ลืมตัวลืมตนกิเลสก็ท่วมท้นในจิตใจ แต่ถ้าไม่ลืมกายไม่ลืมใจเป็นการรู้ดูแลอยู่ ก็จะชำระกิเลสรักษาจิตให้ดีงาม จิตที่มีสติสัมปชัญญะเป็นจิตที่มีกุศล มันก็จะเป็นปกติสุขอยู่

หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
คุณจุฑาทิพย์ หิรัญญสัมฤทธิ์ ถอดเทปธรรมบรรยาย