ความลับของจิตใจ
ถูกเปิดเผยในสมาธิ
"... สมาธินี้ถ้าเราเอามาใช้ คือสร้างสมาธิให้ดีขึ้นหน่อย แล้วเอามาใช้ ไม่ต้องทำสมาธิให้หนักแน่นมากนัก แต่ว่าเป็นสมาธิที่ควบคุมได้ เราทำสมาธิให้นิ่ง จิตใจให้นิ่ง ก็จะมาเห็นใจของเรา ใจจะไม่เป็นสิ่งที่ลึกลับ ใจจะเป็นสิ่งที่เปิดเผย คือเราเปิดเผยกับตัวเอง
ถ้ากลัวว่าคนอื่นจะมาเห็นใจเรา จะมาทะลุทะลวงเข้ามาในใจเรา ไม่ต้องกลัว เราเองทะลุทะลวงเข้ามาในใจของตัวเอง เราก็ดูใจนี้ ก็จะเห็นได้ต่อเมื่อใจนั้นได้รับที่เรียกว่า “อารมณ์” คือ สิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา ได้ฟังด้วยหู เป็นต้น
เวลาเข้ามาแล้ว เราจะเห็นว่าใจนี้ อันนี้พูดอย่างลับ ใจนี้จะมีความรู้สึกอย่างไร คือตัวใจนี้เป็นรูปร่างอย่างไร ใจนี้จะชอบ ชอบใจหรือไม่ชอบใจ อันนี้ใช้สมาธิที่ทำให้ใจนี้นิ่งก่อน แล้วก็เมื่อมีอารมณ์ ซึ่งอารมณ์เข้ามาทุกเมื่อตลอดเวลา อารมณ์เข้ามา เรากั้นอารมณ์นั้นไว้เท่าที่มีความสามารถด้วยการระงับนิวรณ์ ใจนั้นจะกระเพื่อม
ถ้าเปรียบเทียบได้จะเห็น จะเห็นในใจของแต่ละคน ถ้าคิดจริงๆ ดูว่าใจนี้เป็นเหมือนน้ำที่นิ่ง สมมติว่า เราเอาน้ำมา ไม่ต้องมาก เอาน้ำมาใส่ชามอ่างก็ได้ กลับบ้านไปหาชามอ่าง เอาน้ำมาใส่ให้เต็ม เอาชามอ่างนั้นมาวางไว้แห่งหนึ่ง น้ำนั้นจะนิ่ง ทิ้งไว้ให้นิ่งสักครู่
คราวนี้เปรียบเทียบกับใจ ใจหรือน้ำนิ่งนั้น แล้วเราก็ไปหาอะไรอย่างหนึ่ง จะเป็นก้อนกรวดหรือจะเป็นอะไรก็ตาม โยนลงไป น้ำนั่นเป็นอย่างไร น้ำกระเพื่อม หรือชามอ่างนั้นวางไว้ เราไปผลัก น้ำจะเป็นอย่างไร น้ำจะกระเพื่อม เราจะเห็นน้ำกระเพื่อม กระเพื่อมอย่างไร เราก็เห็น ถ้าเราโยนอะไรเล็กๆ ลงไป น้ำจะกระเพื่อม ก็เหมือนเป็นคลื่นเล็กๆ
เสร็จแล้ว ถ้าเราผลักเอา มันก็จะกระเพื่อมๆ ไปคนละอย่าง ถ้าเราเอาน้ำใส่เต็มอ่าง ชามอ่างนั้นอาจจะทำให้น้ำกระฉอกออกมา หรือถ้าเราโยนอะไรที่ใหญ่ลงไป น้ำต้องกระเซ็นออกมา ทำให้โต๊ะหรืออะไรที่เราวางไว้เปียกหมด ถ้าเราผลักน้ำก็อาจจะต้องหก
นี่แหละใจ เราจะเห็นได้ว่า ใจของเราเมื่อได้รับการกระทบอย่างไรก็ตาม ด้วยอารมณ์ใดก็ตาม ใจนั้นจะกระเพื่อม คือใจนั้นจะเหมือนน้ำ ใจนั้นจะมีคลื่น ใจนั้นจะทำให้มีความเคลื่อนไหว เราก็เห็นได้ ถ้าใจนั้นโดนอย่างแรงก็อาจจะหก อาจจะออกมา
หมายความว่า สมมติเราอยู่เฉยๆ ใครเข้ามาตีหัวเราหรือมาต่อย เราก็โกรธ แล้วก็ต่อยตอบไปเลย นี่ใจมันหกออกมา เราก็ดู ในการดูใจนี้ก็เป็นการดูปฏิกิริยาของใจ ความเคลื่อนไหวของใจ คราวนี้ก็ได้ถึงเห็นใจแล้ว ใจที่เคลื่อนไหว เคลื่อนไหวต่างๆ
และก็ใจนี้ทำให้เรามีความสุขหรือมีความทุกข์ ใจนี้เองเมื่อมีความสุข บางทีก็ลิงโลดดีใจมาก อาจจะทำให้เสียหายก็ได้ กระโดดโลดเต้นหกคะเมนลงมาขาหักก็ได้ เป็นสิ่งธรรมดา คือหมายความว่า แม้แต่มีความสุขก็ทำให้มีความทุกข์ต่อไปได้ ..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรฯ พระราชทานแก่คณะผู้แทนพุทธสมาคมทั่วประเทศที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันเสาร์ที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓