Recent Posts

ความแตกต่าง..เดินปกติกับเดินจงกรม


ซ้อมรบ 5 - ผู้จัดการ

ตอนที่ 4 ธรรมะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในโลกนี้

การเดินจงกรมเป็นการแค่เดินที่ประกอบด้วยสติ ความรู้สึกตัว ไม่มีอะไรมากกว่าการเดินที่ประกอบด้วยความรู้สึกตัว เราเดินเหมือนที่เราเคยเดินนั่นแหละ แต่ที่เราเคยเดินนั้นประกอบด้วยความหลง เดินไปก็คิดไป เดินไปก็คิดไป เพราะฉะนั้น เดินประกอบด้วยความรู้สึกตัวยังไง? เห็นร่างกายนี้มันเดิน แล้วเดี๋ยวมันจะหลงลืมไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องพอดี

เห็นมั้ยว่าแวบไปดู นี่ลืมตัวไปแล้วเห็นได้มั้ย เห็นได้มั้ยว่าเมื่อกี้มันออกนอกไป ฝึกเห็นแบบนี้ ไม่ใช่ผิด แต่ให้รู้จักสภาวะที่จิตมันส่งออกไปมันเป็นยังไง คิดก็รู้ทัน แค่จิตใจนี้ไปคิดแล้วก็รู้ทัน เห็นมันในมุมของอนัตตา นี่ก็ใช้ได้แล้ว มันคิดเอง มันไปเอง แต่อย่าเข้าไปผสมโรงคิดกับมัน แต่ก็แน่นอนชอบผสมโรงอยู่แล้วตามความเคยชินเก่าๆ ก็ผสมไปก็รู้…ผสมแล้ว รู้ช้ารู้เร็วก็รู้เหมือนกัน ค่อยๆรู้ไป

ให้การเดินเป็นการเรียนรู้ เห็นร่างกายเดินไม่ใช่เรากำลังเดิน เป็นเรากำลังเดินมาทั้งชีวิตแล้ว…พอแล้ว ตอนนี้เห็นร่างกายมันเดิน เห็นร่างกายมันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ไม่ใช่เราขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เห็นร่างกายเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กำลังถูกรู้อยู่ ร่างกายนี้กำลังถูกรู้อยู่ อะไรที่กำลังเป็นสิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่ของเรา เหมือนเราเห็นเก้าอี้เห็นประตู เก้าอี้หรือประตูก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ มันเป็นของเราไม่ได้ ถ้าใครว่าเก้าอี้กับประตูเป็นเราก็ยุ่งแล้ว ร่างกายจิตใจนี้เหมือนกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่มันอยู่ในสภาวะที่ถูกรู้ มันกำลังแสดงความไม่ใช่เราอยู่ เราเป็นตัวรู้อยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ร่างกายและจิตใจ เราเป็นสภาพรู้ตื่นเบิกบานขึ้นมา ไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เรียนรู้สิ่งที่กำลังถูกรู้นี้ไปเรื่อยๆ จนพ้นจากการที่ต้องรู้ ทุกอย่างก็เป็นอัตโนมัติ

ธรรมะนั้นเอาแต่อ่าน เอาแต่ฟัง เอาแต่คิด จะไม่มีวันเจอธรรมะที่แท้จริงเลย ธรรมะที่แท้จริงเกิดขึ้นได้จากการลงมือปฏิบัติเท่านั้น และเป็นการลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าชีวิตทั้งชีวิตเราคิดถึงแต่การปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีหัวใจแบบนั้นความพ้นทุกข์อยู่ไม่ไกล ขอให้เราเข้าใจอะไรขึ้นมาซักหน่อยนึงเถอะเกี่ยวกับการเห็นตามความเป็นจริง เราจะรู้เลยว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในโลกนี้

ในสมัยพุทธกาล พ่อค้าเศรษฐีมีลูก 5 คน ลูกได้ยินข่าวว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ คนที่รู้คนแรกวิ่งไปบวชกับพระพุทธเจ้าเลย สุดท้ายทั้ง 5 คนนี้ก็วิ่งทุกคน วิ่งไปจนเศรษฐีเซ็งเพราะไม่เคยสนใจปฏิบัติธรรมแต่ลูกก็สนใจ เพราะฉะนั้น ธรรมะตั้งแต่สมัยพุทธกาลเนี่ยเป็นของชนชั้นที่เรียกว่ากษัตริย์ให้ความสนใจ เจ้าชาย เจ้าหญิง วรรณะสูงสุดของคนในสมัยนั้นสนใจธรรมะ รองลงมาก็ชั้นมหาเศรษฐีทั้งหลายออกบวช แต่ผ่านมาสองพันกว่าปีโลกแห่งทุนนิยม ความโลภ กิเลสทั้งหลายมันครอบงำจิตใจเราจนพาลเข้าใจไปว่า ธรรมะเป็นของคนอกหักรักคุด ไม่ประสบความสำเร็จในโลก ล้มเหลวในชีวิต หรือเป็นของคนอีสาน คนจน เราเข้าใจผิดกันหมด นี่คือความมืดบอดของคนสมัยนี้ บอดจนไม่รู้อะไรที่เป็นคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต

พระพุทธเจ้าก็ออกจากวังตั้งแต่อายุ 29 ปี ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือว่าเป็นพระอรหันต์ตอนอายุ 35 ปี ในที่นี้มีคนอายุต่ำกว่า 35 แค่คนเดียว เพราะฉะนั้น พิจารณาชีวิตให้มาก พระพุทธเจ้าก็ใช้ช่วงเวลาที่ท่านแข็งแรงที่สุดตอนอายุ 29 มาปฏิบัติธรรม ฉะนั้น #ชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเราอย่าให้มันเสียไปเปล่าๆ

เวลาเดินจงกรม ตอนออกเดิน ระหว่างเดิน ก่อนหยุด จิตใจเหมือนกันมั้ย ค่อยๆ สังเกตร่างกายและจิตใจนี้ให้มันละเอียดขึ้นเรื่อยๆ น้ำหนักที่ลงมันเหมือนกันมั้ย ความรู้สึกที่เท้าเวลายืนมันหนักเท่ากันมั้ย เรียนรู้สังเกตตัวเองให้มาก แม่ชีที่นี่ต้องอยู่ในห้องออกไปไหนไม่ได้ จุดมุ่งหมายก็เพื่อจะให้เรียนรู้ตัวเอง มีชีวิตที่วิเวกสันโดษไม่ต้องทำอะไรก็เพื่อที่จะมีเวลาเรียนรู้ตัวเองอย่างละเอียด

หลงแล้วมั้ย ยังรู้เนื้อรู้ตัวอยู่มั้ย บางคนพูดปุ๊บเพ่งเลย ก็รู้เป็นแบบนั้นไม่ต้องแก้ไขอะไร มันทำเอง ออกจากการปฏิบัติในรูปแบบก็ยังต้องรู้เนื้อรู้ตัวอยู่กับตัวเอง ถ้ามัวไปพูดไปคุยวิพากษ์วิจารณ์ กำลังสมาธิจะตก อุตส่าห์เดินอุตส่าห์นั่งเป็นชั่วโมงหมดเกลี้ยงเลย เอาไปพูดหมด ใช้สมาธิที่จะดูตัวเองไม่ใช่ดูคนอื่นลง

Camouflage