เราจะดูว่าปฏิบัติก้าวหน้าไม่ก้าวหน้า
ก็ดูว่าจิตใจเราอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้นไหม
จิตมันออกไปนอกตัว
.
ส่งไปนอกกับอยู่กับรู้ตัวอันไหนมากกว่ากัน?
.
ถ้าเราฝึกต่อเนื่อง ๆ
เราจะพบว่าจิตเราจะอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น ๆ
ออกไปข้างนอกน้อยลง ๆ
จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งมันจะอยู่กับตัวตลอด
โดยที่ไม่ต้องไปตั้งใจไม่ต้องไปบังคับเคี่ยวเข็ญ
มันจะอยู่เองรู้เองอยู่อย่างนั้น ขลุกอยู่ในตัว
ไม่ต้องออกแรงแล้วตอนนั้น
.
สติสัมปชัญญะพอฝึกฝนมากขึ้น ๆ
ก็จะรู้เนื้อรู้ตัวอยู่อย่างนั้น
จะขยับจะทำอะไรจะรู้สึกไปหมด
นี่เขาเรียกว่าสติดีขึ้น
มันก็จะเป็นโอกาสให้เรา
ได้พิจารณาเห็นธรรมะในตัวเอง
แพราะเราจิตใจดีสติดี
เราก็ไม่ต้องไปเพ่งอะไรแล้ว
.
ดูอยู่สบาย ๆ เบา ๆ สังเกตสภาวะในตัวเอง
ดูความเปลี่ยนแปลงดูความเสื่อมสลาย
ในสังขารร่างกายจิตใจที่ปรากฎ
ประสานเป็นธรรมชาติ
เรียกว่ารู้ตัวทั่วพร้อมขึ้น
ไม่ต้องไปจดจ้องเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง
เวลาที่ดูรู้ที่กายมันก็รู้ที่ใจ รู้ที่ใจก็รู้สึกที่กาย
ตลอดทั้งสภาวะทางอื่น ๆ ทางหูทางจมูกก็ตาม
.
เหมือนเราไปยืนอยู่ที่สี่แยก
เราไปยืนอยู่บนเนินสี่แยก
เราก็จะมองเห็นรถทางหน้าทางหลังทางซ้ายทางขวา
ถ้าเราไปเน้นทางเดียว
เน้นไปถนนสายทางหน้า ทางหลังไม่เห็นแล้ว
ทางซ้ายทางขวาไม่เห็น
เราต้องมองกลาง ๆ อยู่กลาง ๆ ระหว่างกายใจ
ระลึกรู้ทั้งความรู้สึกทางกายทางใจ
เปิดใจรับรู้นี่แหละแต่ว่าเราไม่ไปเน้นทางใดทางหนึ่ง
ยกเว้นเราฝึกใหม่ ๆ
.
ฝึกใหม่ ๆ ยังไม่ถนัดก็ไปเน้นทางกายไปก่อน
ดูลมหายใจเข้าออก ดูอิริยาบถยืนเดินนั่งนอน
แต่พอต่อ ๆ มาเราก็ระลึกรู้มาที่จิต แต่ก็ยังรู้กายอยู่
ต่อ ๆ มามันก็รู้ผสมผสานกัน
ทั้งความรู้สึกทางกายทางใจ
เปิดรับรู้ทั้งเสียงทั้งสภาวะอื่น ๆ
ที่ผสมผสานอยู่ในตัว ไม่ได้จ้องไปที่ใดที่หนึ่ง
มันก็จะเหมือนอยู่ระหว่างกลางกายใจ
.
ฉะนั้นสภาวะอะไรจะเกิดขึ้นที่กายส่วนไหนก็จะรับรู้
แล้วก็รู้ทั้งตัว หมายถึงว่าสติสัมปชัญญะมันดูแลทั่วทั้งตัว
จะปรากฏรู้สึกส่วนไหนของกายมันก็รับรู้ สะเทือนถึงกัน
แต่ไม่ต้องวิ่งไปดู ไม่ต้องทุ่มใจลงไปที่ขาที่แขน
มันสะเทือนถึงกัน
.
เหมือนกลองใบหนึ่งเคาะตรงไหนก็สะเทือน
เหมือนใยแมงมุมที่มันชักใยไว้
มันมีใยไว้ทั่ว ตัวมันก็อยู่ตรงกลาง
มีแมลงมาโดนจุดไหนมันก็สะเทือนไปถึงตัวมัน
มันไม่ต้องไปวิ่งคอยดักตรงนั้นดักตรงนี้
.
อันนี้ก็เหมือนกัน
เราก็ต้องเจริญสติให้มีเครือข่าย
รู้ไปทั้งตัวแต่ไม่ต้องวิ่งไปดู
เหมือนมีกระแสออกไปรับรู้
เหมือนเรามองอะไรแม้ว่าเราจะมองสิ่งตรงหน้าเรา
แต่เราก็สามารถจะชำเลืองมองสิ่งข้าง ๆ ก็ได้
โดยที่เราไม่ต้องหันไป เราก็สามารถมองเห็น
มองตรงหน้าแต่เราสามารถสังเกตสิ่งข้าง ๆ ได้
สายตาเรามันจะสังเกตได้
.
อาตมาบางทีไม่ได้มองหน้าคน
ที่จริงเห็นคน บางคนหาว่าไม่มองหน้า
คือเราไม่ได้มองตรง ๆ แต่เราก็เห็น
แต่ว่าสายตาเขาไม่ทันสายตาเรา
บางทีคนมากราบมาลุกเรามองก็เห็น
แต่เขาว่าเราไม่มอง ไม่มองจะเห็นได้อย่างไร ก็เห็น
เหมือนเรามองตรงหน้าเราจะเห็นคนข้าง ๆได้
เราไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็ได้
.
เหมือนกัน ที่เราระลึกรู้ที่จิตอยู่นี้
แต่เราก็สามารถชำเลืองมองสภาวะที่กายได้
โดยที่เราไม่ต้องเพ่งลงไปความรู้สึกทางกายทางใจ
จะได้ไม่เสียศูนย์
ถ้าเราจิตหลุดจากฐานไปดูตรงนั้นไปดูตรงนู้นมันก็เสียฐาน
แต่ถ้าเรารักษาฐานไว้ รักษาไว้
แต่เราก็สามารถจะมีกระแสของจิต
ไปรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ
.
โดยความเป็นจริงแล้วมันก็คือรู้จิตอยู่เสมอ ๆ นั่นแหละ
สติมาดูแลรักษาจิตอยู่เสมอ
แต่ก็ไม่ใช่รู้เฉพาะจิต
มันก็เปิดรับอะไรที่จะสัมพันธ์สื่อเข้ามาถึงจิตก็รับรู้กันไป เหมือนเรามีเครื่องเรดาร์ส่องทั้งตัว
หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี