" เวลาที่เราออกนอกบ้านไปเทียวตลาด หรือ ในห้างสรรพสินค้า เราเห็นสินค้าเต็มไปหมด แต่เราไม่เคยหยิบมาเป็นของเราถ้าไม่ได้ซื้อ เหตุเพราะเรารู้ดีว่าไม่ใช่ของเรา
กายกับใจของเราเช่นเดียวกัน มันเข้าใจว่าเป็นของเรามานาน พอมันแสดงอาการออกมา ปวดก็เราปวด หิวเราก็เป็นผู้หิว ร้อน หนาว ก็เป็นเรา พอทางใจแสดงอาการ พอใจ ไม่พอใจ เราก็เป็นกับมัน
เราอ่านธรรมะ ฟังธรรมะทั้งพระไตรปิฏก ทั้งผู้รู้หลายๆ ท่าน ก็กล่าวอยู่กายนี้ไม่ใข่ของเรามันเป็นธาตุ4 มีเวทนาร้อน หนาว หิว ปวด อาศัยอยู่เพื่อบอกเหตุว่ากายหรือธาตุเกิดอะไรขึ้น ขันธ์5 มันมิใช่เรา มันมีเวทนามีความรู้สึก สัญญามันจำได้ มันก็คิดตามสัญญาที่มันจำของมัน วิญญาณก็เข้าไปรู้ว่าคิดอะไร
แต่ไม่สามารถแยกออกมันได้ว่ามันมิใช่ของเรา
การเจริญสติจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เกิดปัญญาว่า กายใจนี้มิใช่ของเรามันเป็นธรรมชาติ สามารถแยกออกมาได้เหมือนกับสินค้าที่อยู่ในห้างว่ามิใช่ของเรา ภาษาปฏิบัติธรรมเรียกว่า แยกรูป แยกนาม หมายถึงสติปัญญาเกิดขึ้นไปเห็นว่าคนเราทุกคนมีรูปมีนาม หรือกายกับใจ มันก็เริ่มรู้แล้วว่า หิว ร้อน หนาว ปวดเมื่อย เจ็บ มันเป็นอาการของรูปมิใช่เรา พอใจ ไม่พอใจ เบื่อหน่าย รำคาญ นี่ก็อาการของใจมิใช่เราอีกเหมือนกัน แล้วสติปัญญาที่เข้าไปเห็นมันก็มิใช่เรา รู้เห็นมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ถ้าจะนำมาใช้ก็ใช้ด้วยสติปัญญา มิได้ใช้แบบหลงกายหลงใจ
ฉะนั้นการเจริญสติไปในกายเพื่อให้รู้กายนั่นเอง เจริญสติเห็นความคิดเพื่อให้เห็นใจนั่นเองเมื่อเห็นแล้วมันจะรู้เห็นของมันเอง มันแยก มันวาง อยู่เหนือมันเอง สาธุในธรรม
ที่มา : สุวิบูลย์ บุญเกีย