เล่ากันว่าท่านพุทธทาสภิกขุนิยมจัดการคนจิตตกใจฟุ้งซ่านโดยให้ไปแบกอิฐแบกปูน กวาดลานวัด ให้ทำงานหนักจนเหนื่อยจัด หมดแรงฟุ้งซ่านหายบ้า เพราะเมื่อกายหมดแรง ใจก็เบื่อที่จะฟุ้งซ่าน
เราก็อาจทำอย่างเดียวกัน เมื่อเครียด เหงา เศร้า ซึม ก็อาจระบายความทุกข์ทางใจออกไปทางกาย เช่น ออกกำลังกาย เมื่อเหงื่อท่วมตัว ความเครียดมักละลายตามเหงื่อไปด้วย ถ้ายังไม่หายบ้าก็ออกไปกวาดถนนทั้งสาย จนหายบ้า
นี่ก็คือเทคนิคถ่ายความบ้าออกจากตัว เปลี่ยนความหมกมุ่นในเรื่องแย่ไปที่เรื่องงาน ทั้งนี้เพราะใจและกายสัมพันธ์กัน ส่งผลกระทบกัน
จิตมนุษย์มีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งคือชอบฟุ้งซ่าน เหมือนลิงที่อยู่ไม่นิ่ง
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกับสปีชีส์ลิง ลิงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแรด นั่นคือลิงมีนิสัยชอบ ‘แรด’ ไปที่ต่างๆ อยู่ไม่สุข! มันมีพฤติกรรมเหลวไหลตามธรรรมชาติของมันอย่างนี้เอง
ทางพระเวลาสอนให้นั่งสมาธิ ไม่ได้ให้เราคุมลิงตัวนี้ให้อยู่ในกรอบในกรง แต่ให้ปล่อยมันเป็นอิสระ เพียงแต่มันไปไหน สติก็ตามมันไปด้วย
ถึงไหนถึงกัน ตามมันให้ทัน ไม่ต้องไปดึงมันกลับมาขังในกรง ปล่อยมันไป แต่อย่าให้มันคลาดสายตา
การกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นการทำสมาธิที่คลาสสิกที่สุด เมื่อเพ่งที่การหายใจ จิตก็ไม่แกว่งไกวไปไหน แต่การมีสมาธิไม่จำเป็นต้องมาจากการนั่งหลับตานิ่งๆ การทำงานอย่างจดจ่อก็เป็นสมาธิอย่างหนึ่ง เพียงแต่เราควรรู้ตัว และการรู้ตัวที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งก็คือการรู้ทันลมหายใจเข้าออก
แต่จิตก็คือจิต ลมพัดมาวูบ สมองคิดไปโน่นไปนี่ ฟุ้งซ่านคิดว่าเป็นผีหรือเทวดาหรือมนุษย์ต่างดาวมาเยี่ยม จิตก็พุ่งไปทันที หลุดจากสภาวะสมาธิได้ง่ายดาย
ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์แล่นผ่าน จิตก็ปรุงแต่งเป็นความโกรธ ไอ้เด็กแว้นพวกนี้ช่างน่าถีบนัก! ดึกดื่นชาวบ้านจะนอนก็ไม่ได้ อยากเอาปืนไปยิงมัน นี่ก็คือการปรุงแต่งความว่างเป็นความโกรธ จากลิงธรรมดาเป็นลิงร้าย หรือคิงคอง แล้วมันก็คุมเรา เราก็ทำสิ่งที่มันต้องการอย่างว่าง่าย
แต่หากตามลิงทัน เมื่อมีเสียงรถมอเตอร์ไซค์แล่นผ่าน ก็ให้รู้ทัน ไม่ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ หรือถ้าเผลอไปแวบหนึ่ง มันปรุงแต่งไปแล้ว ก็แค่เฝ้าดูอารมณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นรอให้มันดับลง
การใช้สติตามลิงหรือตามจิตให้ทันนี้ ภาษาพุทธเรียก อานาปานสติ
เราจะเข้าใจเรื่องทุกข์ได้ดีขึ้นหากมองว่ามันเป็นห่วงโซ่ของอารมณ์ที่กระทบจิต หากเราตามมันทัน มองเห็นตั้งแต่ลิงขยับตัว ทำให้เราเกิดความรู้สึกต่างๆ ก็ให้ตามทันและเฝ้ามองมันจนดับไป ก็ไม่เกิดทุกข์โดยไม่จำเป็น
วันๆ จิตก็ปรุงแต่งเกิดๆ ดับๆ อย่างนี้ หลายสิบหลายร้อยหลายพันหน
การเกิดแต่ละหนเรียกว่าหนึ่ง ‘ชาติ’
คำว่า ‘ชาติ’ นี้น่าจะเป็นคำที่คนจำนวนมากไขว้เขวกันบ่อยๆ ว่าหมายถึงชาติภพ ชาตินี้ชาติหน้า
คนทั่วไปที่ไม่ค่อยคุมความประพฤติลิงของตัวเองมักเกิดใหม่วันละหลายสิบหลายร้อยชาติ มีแต่คนที่ตามลิงทัน จึงไม่ต้อง ‘เกิด’ ใหม่ เพราะจิตนิ่งไม่ปรุงแต่งเป็นชาติ
การปรุงแต่งเป็นชาตินี้ ภาษาพุทธเรียก ปฏิจจสมุปบาท
พูดให้ยากเข้าไปอีก มันก็คือ cause-effect ของจิตนั่นเอง
เอาละ เราชาวบ้านไอคิวธรรมดา ก็ไม่ต้องไปสนใจชื่อเรียกยากๆ แค่เข้าใจหลักง่ายๆ ว่า ความคิดปรุงแต่งจิตเป็นอารมณ์ ถ้าใช้สติตามมันทัน ก็อาจหยุดไม่ให้มันปรุงแต่งเป็นอารมณ์ ถ้าตามไม่ทัน ก็ช่างมัน ไม่ต้องซีเรียส มันก็แค่ลิงตัวหนึ่ง
อย่าคิดไปจับลิง เพราะเราจับมันไม่ได้หรอก แค่เฝ้าดูมันก็พอ
ย่อมมีคนถามว่า ถ้าจิตมันเป็นลิง ทำไมเราต้องไปตามมันให้ทันเล่า? ทำไมไม่ปล่อยให้มันฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ?
คำตอบคือทุกครั้งที่จิตฟุ้งซ่าน ลิงจะคุมเรา เราจะกลายเป็นทาสอารมณ์ชนิดต่างๆ
ดูโทรทัศน์เห็นหน้านักการเมืองโกงชาติ อารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นมนุษย์หมาป่า ถีบโทรทัศน์พัง ต้องไปซื้อใหม่
เห็นเพื่อนสะพายกระเป๋าถือแบรนด์เนมใบใหม่ ลิงก็บอกว่าไปหามาบ้าง
ถ้าเราคุมมัน (หมายถึงตามมันทัน) เราก็ไม่โกรธง่าย ไม่มีอารมณ์ต่างๆ ง่าย ทำให้จิตนิ่งสงบ
ก็ไม่น่าเลือกยากว่าอยากคุมลิงหรือให้ลิงคุมเรา
ข้อดีของการตามลิงทันก็คือความเย็นสบายของชีวิต
แต่ลิงตัวนี้ว่องไวนัก อย่าหงุดหงิดหากมันหลบรอดตาเราไปได้ ตามลิงไม่ทัน ก็ช่างหัวมัน ไปแบกอิฐแบกปูนสักหน่อย พอเราเหนื่อยมากๆ เดี๋ยวลิงก็กลับมาเอง เพราะลิงเป็นส่วนหนึ่งของเรา เมื่อเราเหนื่อย มันก็เหนื่อยเหมือนกัน
วินทร์ เลียววาริณ
ที่มา : winbookclub.com
คมคำคนคม
เวลาที่ไม่ดีใจ–เสียใจนั่นแหละสงบเย็นที่สุด เพราะเป็นนิพพุติ นิพพานน้อย ๆ ชั่วคราวเพื่อชิมลอง
พุทธทาสภิกขุ