Recent Posts

รู้ยังไงไม่เข้าไปในอารมณ์?


     เรื่อง: รู้ยังไงไม่เข้าไปในอารมณ์? 
   
📍โยมถาม : ที่เรารู้ว่าตอนไหนเรามีอารมณ์โลภ โกรธ หลง ตอนไหนเรามีความสุข คือเรามีอารมณ์ 2 อย่าง แต่ว่าเราเอาตัวเองออกมาค่ะ เพื่อมาดูมัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราไม่ได้เอาตัวเองเข้าไปจัดการ หรือว่าไปยึดติดกับอารมณ์นั้นทั้ง 2 อย่าง

📍พระอาจารย์ตอบ : สังเกตดูนะ เวลามีอารมณ์เกิดขึ้น 

เวลาเราจมเข้าไปในอารมณ์ 
เช่น ตัวอย่างอารมณ์ฝ่ายลบก่อนนะ 

มันโกรธ เกิดขึ้นมาปุ๊บ.. เราโกรธ 

พอมีอารมณ์โกรธเกิดขึ้นมาปั๊บ นี่คืออารมณ์นะ แล้วเราก็รู้แล้ว 

การรู้นี้ถ้าเราไม่มี เราก็จะจมไปกับในอารมณ์โกรธ 

พอจมไปในอารมณ์โกรธปุ๊บ

มันจะเกิดพฤติกรรม 3 ประการ
คือกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทำตามอารมณ์นั้น 

อันนี้เค้าเรียกว่าจมไปเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ 

แล้วสิ่งที่เราหายไปคือ การรู้เนื้อรู้ตัวจะหายไปหมดเลย 

อันนี้เค้าเรียกว่าเข้าไปละ 

ในทางกลับกัน ในทางอารมณ์บวกก็เหมือนกัน 

เมื่อมีอารมณ์มีความสุขก็เหมือนกัน ก็จะเข้าไปแบบเดียวกัน 

แล้วก็ลืม ลืมตัวนี้หมดเลย 
 
ตัวรู้ก็เริ่มเอียงเข้าไป เอียงเข้าไปในภายใน 

ทั้งอารมณ์โกรธ และอารมณ์มีความสุข .. มันจะลืมตัว 

ทีนี้เวลาเราฝึกแล้วนะ เราสามารถรู้ทั้ง 2 อารมณ์ได้ทันที 

เช่น เวลามันโกรธนะ พอเราเข้าไปมากๆ ถึงที่สุดแล้วมันหายไหม 

พอถึงที่สุดแล้ว พอทำตาม ถึงที่สุดแล้วมันก็หาย 

ถึงเราไม่ทำตาม ที่สุดมันก็หาย 

เวลาเราชอบใจเหมือนกัน 
เมื่อทำตามมันดื้อๆ แล้วมันหายไหม

มันก็หาย ถึงเราไม่ทำตามมัน ถึงเวลามันหมดปัจจัยมันก็จะหาย 

อันนี้เราจึงพยายามที่จะรักษาความรู้สึกตัวที่ไม่สมควรเข้าไปหา

กับสิ่งที่มันไม่แน่นอน สิ่งที่ไม่ถาวร สิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ 

ถามจริงๆ ใจเรานะ อะไรที่ไม่แน่นอน.. เราจะเอาไหม

แต่ที่เอาทุกวันนี้ เพราะมันไม่รู้ว่า 'มันไม่แน่นอน' 

... ผลสุดท้ายมันจะมีความสุขชนิดหนึ่ง 

มันเป็นความสุขที่ ไม่ใช่ว่าฉันได้อะไรถูกใจแล้วมีความสุข 

ไม่ใช่แบบประเภทนั้นนะ 

แต่เป็นความสุขแบบเย็นๆ สบายๆ แบบเหมือนตอนนี้ 

ตอนนี้ เราไม่มีอะไรชอบใจเกินไปนะ แล้วไม่มีอะไรที่ชังเกินไปนะ 

แล้วใจเราก็อยู่แบบสบายๆ เย็นๆ สบายๆ ง่ายๆ 

ไม่ต้องดิ้นรนพยายามอะไรเลย 

แต่ตรงนี้เราไม่ค่อยคุ้นชิน

ถ้าเห็นมันบ่อยๆ... 

ความสุขชนิดนี้เป็นความสุขที่อิสระจากการที่ถูกสิ่งนี้เข้าครอบงำ 

เพราะฉะนั้นเวลาถูกสิ่งนี้เข้าครอบงำเราจะเห็นว่า 

ฟากฝั่งนี้(ภายนอก) เราหายไป.. เราก็เติมการรู้ฟากฝั่งนี้(ภายนอก) เพื่อดึงให้ใจเราออกมา 

... หัดออกมาก่อน 

เพราะฟากฝั่งนี้นะ ที่มันเกิดขึ้นทางฟากฝั่งของรูป 

มันจะเป็นอารมณ์ปัจจุบันเป็นหลัก แล้วจะทุกข์ตลอด

แล้วเราไม่สามารถที่ว่ามันจะเกิดแค่ แว้บเดียวหาย ไม่อยู่นานเลย 

แต่ข้างนี้(ภายใน) บางทีมันปรุงอยู่ได้นาน แต่เดี๋ยวมันก็หาย 

...ข้างนี้(ภายนอก) มันแค่ ได้ยินเสียง มันแค่แวบเดียวนะ ดับไปล่ะ 

เพื่อให้จิตมันได้ซึมซับภาวะจริงของโลก 

ฟากฝั่งตรงนี้(ภายนอก)ให้มากขึ้น แล้วมันจะไปเห็นฟากฝั่ง(ภายใน) ด้วย 

ทีนี้พอมันเข้าใจตรงนี้นะ มันจะวางทั้ง 2 อย่าง แต่อยู่กับทั้ง 2 อย่าง 

เพราะ 2 อย่างนี้เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำอะไรมัน แต่เราวางมันได้ 

ทีนี้เวลาเราจะใช้นะ เราอยากจะมีความสุขแบบนั้นก็ได้ 

ความสุขแบบนั้นนะ มันไม่เหมือนกับความสุขแบบอิสระหรอก 

มันก็แค่ไปเล่นๆสักพักหนึ่งก็กลับ มันไม่ได้ไปซีเรียสจริงจัง เอาเป็นเอาตาย เหมือนเมื่อก่อนนะ 

แค่เห็นๆ และอ้อ นี่ความสุขนะ 

ก็สนุกกับมันสักพักหนึ่งแล้วเดี๋ยวมันก็กลับ 

มันรู้จักที่กลับ รู้จักที่อยู่ 

เพราะตัวภาวะของตัวรู้นี่นะ มันทำให้เกิดการได้เรียนรู้ และเข้าใจโลกใบนี้ตามที่มันเป็นจริงๆ 

ถ้าคุณอยากจะรู้ว่าอิสระ เป็นยังไง 
คุณลองเอาโซ่ล่ามขาคุณไว้กับเสาดูสิ 

วิ่งรอบเสาอยู่นั่นเป็นยังไง 
กับถอดโซ่ออกจากขาได้แล้วมันเป็นยังไง 

แล้วมันมีความสุขแบบไหน อยากรู้ลองไปทำดูนะ

ลองเอาจิตไปผูกกับอารมณ์นานๆเข้า...มันเป็นยังไง 

แล้วจิตมันหลุดจากอารมณ์ โดยไม่ต้องโดนอารมณ์มันผูก...มันเป็นยังไง 

มันจะเป็นความสุขแบบสบายๆ แบบง่ายๆ 
เหนือจินตนาการที่เราคิดถึงมัน 

เพราะสิ่งนี้ไม่ต้องจินตนาการ ให้ใช้ใจสัมผัส จินตนาการเข้าไม่ถึง

เพราะจินตนาการใดๆก็ตาม
คือ ความที่มันผิดเพี้ยน

ธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ กระสินธุ์ อนุภัทโท

ถอดคำ : จันทร์จิรา ทองไหลรวม
เรียบเรียง : นงนุช ตันติประภาส