Recent Posts

สภาวะที่จิตเผลอ


/เวลาเผลอก็เกิดความเป็นตัวตนขึ้นมา
เวลารู้สึกขึ้นมาความเป็นตัวตนก็หายไป
เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกนะ มันจะค่อยๆละ
ความเห็นผิด...ว่ามีตัวตนได้/

ให้หัดรู้สภาวะที่จิตเผลอไป
ต่อไปพอจิตเผลอแวบ สติเกิดเองเลย
แล้วก็รู้สึกตัวขึ้นได้ชั่วขณะนะ แล้วก็เผลอใหม่
รู้สึกใหม่ เผลอใหม่ ไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องรู้สึกตัวตลอดเวลานะ
การปฏิบัติไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อให้มีสติตลอดเวลา
อย่าสำคัญผิด สติตลอดเวลาเป็นไปไม่ได้
เราไม่ใช่พระอรหันต์
พระอรหันต์ก็ไม่ได้มีสติตลอดเวลานะ
เวลาที่เป็นวิบากจิตก็ไม่ได้มีสติ
เวลาที่จิตลงภวังค์ไปเป็นภวังคจิตก็ไม่ได้มีสติ
เวลาที่ตามองเห็น หูได้ยินเสียงก็ไม่ได้มีสติ
สติมันเกิดในชวนจิตเท่านั้นเอง
ตรงนั้นเป็นกิริยาเฉยๆ มันเกิดเองอัตโนมัติ

ฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีสติตลอดเวลา
เรามีสติขึ้นมาแล้วก็เผลอไป
มีสติขึ้นมาแล้วก็เผลอไปอันนั้นดีที่สุดแล้ว
เพราะเราเป็นได้แค่นั้น
การที่เรามีสติขึ้นมาแล้วก็เผลอ
มีสติขึ้นมาแล้วเผลอนี่ มีข้อดีมากเลย
การที่มีสติขึ้นมาหนึ่งครั้งเนี่ย
มันได้ตัดชีวิตเราเป็นสองท่อนแล้ว
อย่างคนทั่วๆไปเผลอวันละครั้ง
ตั้งแต่ตื่นจนหลับไม่เคยรู้สึกตัวเลย
มันจะเผลออยู่อย่างนั้นทั้งวัน
มันรู้สึกมีตัวเราอยู่อย่างนั้นแหละ
แต่พอมีสติขึ้นหนึ่งแวบ วันนี้เกิดมีสติหนึ่งครั้ง
ชีวิตถูกตัดขาดเป็นสองท่อนแล้ว
มีเผลอสองอัน รู้สึกตัวอยู่ตรงกลางอันหนึ่ง
ฉะนั้นถ้าสติเกิดบ่อยเนี่ย
ชีวิตจะถูกตัดเป็นท่อนเล็กๆ เป็นขณะที่เล็กลงๆนะ
เผลอแวบรู้สึก แวบรู้สึก พอรู้สึกได้แวบเดียว
เดี๋ยวก็เผลอไปอีกแล้ว แล้วก็รู้สึกอีก
เนี่ยมันจะเห็นเลย จิตจะเผลอก็ห้ามมันไม่ได้
จิตจะรู้สึกตัวก็สั่งให้รู้สึกไม่ได้
รู้สึกแล้วก็รักษาไม่ได้
จิตทั้งที่เผลอทั้งที่รู้สึกตัว เกิดแล้วดับทั้งสิ้น

ฉะนั้นภาวนาไม่ใช่เอาจิตที่รู้สึกตัวนะ
ถ้าภาวนาอยากได้จิตที่รู้สึกตัวคือ ภาวนาเอาดี
ไม่ได้ภาวนาเอาความจริง
การมีสติสมาธิปัญญามีธรรมะอะไรขึ้นมาเนี่ย
เป็นแค่เครื่องอาศัยเท่านั้นเอง
อาศัยเพื่อจะได้รู้ว่าเมื่อกี้เผลอไป ตอนนี้รู้สึก
รู้สึกได้แวบเดียวก็เผลออีกแล้ว
เผลอแล้วรู้สึก เผลอแล้วรู้สึกนี้
ชีวิตจะขาดเป็นท่อนๆ
เวลาเผลอก็เกิดความเป็นตัวตนขึ้นมา
เวลารู้สึกขึ้นมาความเป็นตัวตนก็หายไป
เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกนะ
มันจะค่อยๆละความเห็นผิดว่ามีตัวตนได้

ฉะนั้นเรามีสติแวบหนึ่งรู้สึก แวบหนึ่งรู้สึกนะ
แล้วก็หลงไป แค่นี้พอแล้ว
ดังนั้นการปฏิบัติง่ายนะ ไม่ได้ทำอะไรเลย
เพียงแค่ว่าหัดรู้สภาวะแล้วสติจะเกิดดีขึ้นๆเอง

แต่เดิมสติเกิดยาก วันหนึ่งเกิดครั้งหนึ่งก็บุญโขแล้วนะ
เพราะคนทั้งโลกไม่ค่อยเกิดสติ ไม่ค่อยมีสติ
ทีนี้เราหัดทีแรกก็นานๆ มีสติทีหนึ่ง
พอหัดไปนานๆนะ สติเกิดบ่อย
คล้ายๆเราทำมาหากินนะ ต้นทุนเราน้อยนะ
สมมุติเราหาบเต้าฮวยขาย ได้กำไรวันหนึ่งไม่กี่บาท
ต่อมารวยขึ้นมานะ หากินง่ายนะ
นอนอยู่เฉยๆเงินก็ไหลเข้าบ้านแล้ว

การภาวนาก็เหมือนกัน
หัดทีแรก...นานๆสติจะเกิดทีหนึ่งนะ
แต่พอจิตมันจำสภาวะได้แม่นขึ้นๆนะ
ชำนิชำนาญมากขึ้น สติเกิดทั้งวันเลย
ไม่ได้เชิญให้เกิด เกิดทั้งคืนด้วย
ยกเว้นเวลาจิตลงภวังค์ไปหลับจริงๆ
ซึ่งไม่นานเท่าใดหรอก จะรู้สึกนอนอยู่นี่
ร่างกายพลิกซ้ายพลิกขวาก็รู้สึกได้เองเลย
จิตใจจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวคิดนึกอะไร
มันรู้สึกได้เองเลยทั้งวันทั้งคืน
มันต้องเป็นอัตโนมัติแล้วไม่เหนื่อยยาก
ถ้ายังเหนื่อยยากอยู่ ยังฝืนอยู่
...ยังฝืนอยู่นะ แสดงว่ายังทำไม่เป็น

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช