“...วันหนึ่งอาตมาไปกราบท่านอาจารย์พุทธทาส แล้วได้อยู่สองต่อสอง ก็เลยอยากจะพูดความจริงกับท่าน จึงกราบถามท่านว่าอาจารย์ครับ พระอรหันต์นี่ท่านมีจิตอยู่อย่างไร ท่านตอบว่า พระอรหันต์ท่านไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ก็คือไม่ปรุงแต่งนั่นเอง ถ้าเรามีอารมณ์รัก อารมณ์เกลียด อารมณ์อิจฉา อารมณ์พอใจ อารมณ์ไม่พอใจ แม้แต่อารมณ์กลัว เหล่านี้เป็นอารมณ์ทั้งนั้นเลย แต่พระอรหันต์ท่านไม่มีอารมณ์ ก็เพราะว่าท่านมีสติปัญญาสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา เมื่อท่านมีสติปัญญาสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา อารมณ์อะไรจะเข้ามาท่านก็ไม่เอาอารมณ์เหล่านั้น เพราะว่าท่านรู้อารมณ์แล้วท่านก็ปล่อยไป รู้แล้วก็ปล่อยไป รู้แล้วก็ปล่อยไป อารมณ์อย่างนี้ราคะ-ปล่อยไป, อารมณ์อย่างนี้โทสะ-ปล่อยไป, อารมณ์อย่างนี้โมหะ-ปล่อยไป, อันนี้สวย-ปล่อยไป, อันนี้อร่อย-ปล่อยไป, อันนี้ไม่อร่อย-ปล่อยไป ท่านสักแต่ว่ารู้ รู้แล้วก็ปล่อยไป ไม่ใช่ว่าประสาทพระอรหันต์ท่านจะด้านชา ท่านไม่ได้อยู่แบบเป็นท่อนไม้ ท่านมีประสาทรับรู้ทุกอย่าง ประสาทรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ประสาทเหล่านี้ไปรายงานให้จิต แต่จิตนั้นเต็มไปด้วยสติปัญญา เมื่อจิตเต็มไปด้วยสติปัญญา คือจิตนั้นเต็มไปด้วยวิชชา คือรู้ตามความเป็นจริง เรียกว่าเป็นวิปัสสนาสมบูรณ์ เมื่อท่านรู้ตัวไหนท่านก็ปล่อยไป รู้แล้วปล่อยไป
พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระภิกษุว่า เธอจงทำจิตให้เหมือนใบบัว ใบบอน ที่ถูกน้ำแต่ใบนั้นก็ไม่เปียกน้ำ หรือใครจะเอาตัวอย่างใบบัว ใบบอนที่ไม่เปียกน้ำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันก็ยังได้
ฉะนั้นการปฏิบัติต้องปฏิบัติให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา ให้เห็นพระนิพพาน และต้องให้เห็นอย่างชัดเจน และเห็นให้ไวๆหน่อย ถ้าเห็นไวๆแล้วมันก็จะเรียกว่าไม่เข้าไปยึดถือ เพราะเห็นทางตามันก็กลิ้งไป เรียกว่าจิตมันไม่เอาเพราะจิตมันจะไวมาก พระพุทธเจ้าท่านว่าเหมือนเรากระพริบตา คือให้ไวอย่างนั้น ถ้าไม่ไวจะสู้กิเลสสู้อวิชชาไม่ได้ ฉะนั้นวิชชาต้องไว้ให้ทันกัน และก็ยังไม่พอต้องให้ไวมากกว่านั้นอีกและให้มีพลังมากกว่าวิชชา มันจึงจะชนะได้
....ไม่เช่นนั้นมันก็ยังชนะไม่ได้”
บางตอนจากหนังสือ “นิพพาน”
หลวงพ่อเอี้ยน วิโนทโก
สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต จ.พัทลุง