Recent Posts

ผู้รู้ กับ ผู้ถูกรู้ ???



< ไม้ตีระนาดกับลูกระนาด >
      ~  ผู้รู้ กับ  ผู้ถูกรู้  ~

     นักปฏิบัติจะได้ยินคำว่า " ผู้รู้ กับ ผู้ถูกรู้ " มาเสมอ 
ตอนยังไม่เข้าสู่การปฏิบัติ คนทั้งหลายจะไม่มี ผู้รู้ กับ ผู้ถูกรู้ กันหรอก

เพราะในการใช้ชีวิตนั้นมันมีแต่ความรู้สึกเป็น ของกู เป็นกู ตลอดเวลา เช่นใครทำเสียงดัง เราก็โกรธ ไม่ชอบใจ อย่างนี้เป็น " เราโกรธ เพราะมีคนอื่นกระทำ " ขึ้นมา ไม่มี " ผู้รู้ ผู้ถูกรู้ " ใดๆ ...

จากนั้นเริ่มมาปฏิบัติ มีสติ สัมปชัญญะ รู้จักนั่งสมาธิ 
เริ่มมี " ผู้รู้ " ไปสังเกต " ลมหายใจ " 
ลมหายใจเลยกลายเป็น " ผู้ถูกรู้ " เมื่อทำจนบ่อย จนชำนาญ จากนั้นก็เริ่มพัฒนาขึ้นสู่การใช้ชีวิตประจำวัน

พอมีใครทำเสียงดัง เกิดความไม่พอใจ ตอนนั้นสติระลึกขึ้นมา จึงเกิด " ผู้รู้ " ไปสังเกตเห็น " อารมณ์โกรธ " อารมณ์โกรธ กลายเป็นผู้ถูกรู้ เมื่อเป็นอย่างนี้บ่อยๆ เริ่มเกิดเห็นลักษณะรายละเอียดของ " ผู้ถูกรู้ " มากขึ้น เช่น " ผู้ถูกรู้ " นี่เกิดขึ้นแล้วเดี๋ยวก็ดับไป บางทีก็ไปเห็นว่า เมื่อมีสิ่งมากระทบ ผู้ถูกรู้นี้ก็เกิดขึ้นตาม หรือ บางทีสิ่งกระทบเดียวกัน แต่ทำไม " ผู้ถูกรู้ " ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อน ฯลฯ อย่างนี้ " ผู้รู้ " เริ่มเรียนรู้ " ผู้ถูกรู้ "

จนวันหนึ่งเข้าใจได้ 
ฟันธง! จากการเรียนรู้มาอย่างต่อเนื่อง (ตอนนี้ศีลต้องบริบูรณ์นะ ไม่งั้นจะเห็นด้วยปัญญาเองว่า หากยังทำผิดศีล ความทุกข์ใจจะเกิดขึ้นตลอดเวลา ยากมากที่จะนำไปสู่ความสงบตั้งมั่น) 

" ผู้ถูกรู้ " นั้น ไม่มีตัวตน เพียงแค่ของเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย ดับไปเมื่อหมดเหตุปัจจัย ใครเห็นแจ่มแจ้งตลอดเวลาอย่างนี้ ผู้นั้นจะละความเห็นผิดในความเป็นตัวตนลงได้ในที่สุด 

ถึงแม้ในช่วงระหว่างการปฏิบัติ การเห็นอย่างนี้ก็เกิดขึ้นเช่นกันแม้จะยังไม่ถึงธรรมจนละความเห็นผิด ถึงแม้บางขณะจะกลับไปมีตัวตนบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะจิตยังไม่เห็นจนขาวรอบ 
ดังนั้นอย่าห่วง จากการปฏิบัติภาวนาไม่หยุดหย่อนมันจะต้องเห็นความจริงมากขึ้น มากขึ้น จนเบียดความเห็นผิดในความเป็นตัวตนหมด (สักกายทิฏฐิ) ไปในที่สุด นั่นจึงไม่มีมิจฉาทิฏฐิอีก 

ซึ่งก็แปลว่าเกิด สัมมาทิฏฐิ นั่นเอง ..

ทีนี้ เมื่อ " ผู้รู้ " เฝ้าดู " ผู้ถูกรู้ " ต่อไป ความตั้งมั่นใน สัมมาสมาธิ ก็จะสูงขึ้น ทำให้เริ่มไปสังเกตเห็นว่า " ผู้รู้ " เองก็เกิดดับนี่ ในช่วงที่ผ่านมา ความที่มัวแต่สังเกต พุ่งไปที่ " ผู้ถูกรู้ " จึงทำให้ " ผู้รู้ " เองเกิดเป็นตัวตนขึ้นโดยลำดับ เริ่มรู้สึกขึ้นเรื่อยๆ ว่า " กู " เข้าใจ 

เกิด " ปัญญา " แล้วสิ่งที่จะตามมาเป็นอัตโนมัติโดยผู้นั้นอาจจะไม่รู้เลยคือ การยึดถือ " ปัญญา " นั่น เป็น " ของกู " ขึ้นทันทีและเหนียวแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในชั้นที่ละเอียดมากขึ้นแม้ละความเห็นผิดในความเป็นตัวตนแล้วก็ตาม แต่อุปาทานในขันธ์ยังมีอยู่

ตราบใดที่จิตยังคงมี ... อวิชชา ..

" จิตโง่ " จะยึดทุกอย่างนั่นล่ะ เพราะต้นเหตุของทุกอย่างก็เพราะจิตมันยึดถือตัวมันเอง การเจริญมรรค จะเกิดรู้แจ้งอริยสัจ๔ ขึ้นมา เมื่อเกิดรู้แจ้งอริยสัจก็จะนำไปสู่การเห็นและรู้แจ้งปฏิจจสมุปบาทขึ้นตามมา เนื่องด้วยเป็นสิ่งเดียวกัน จึงนำไปสู่ความเห็นถูกในระดับที่ลึกขึ้น จนเห็นว่า วิญญาณเองก็เกิดดับ ตอนนี้จิตจะเริ่มเห็นความจริงมากขึ้น 

จึงเป็นที่มาสู่ความเห็นถูกมากขึ้นว่า แม้ " ผู้รู้ " ก็เกิดดับ!!

หากอุปมา " ผู้รู้ " กับ " ผู้ถูกรู้ " เหมือนระนาดกับไม้ตีระนาด ..

ระนาดกับไม้ตีก็อยู่กันเป็นเซ็ท แต่ไม่เหมือนกัน ทำหน้าที่ต่างกัน แต่งานนี้ไม้ตีระนาดเกิดไปเข้าใจผิดยึดว่าระนาดเป็นของมัน เสียงที่เกิดขึ้นมาจากมันเป็นคนทำ แต่เมื่อสังเกตด้วยความตั้งมั่นและเป็นกลาง 

ไม้ตีระนาดจึงเริ่มพบความจริงว่า " เสียงระนาดที่ดังขึ้นมานั้นมาจากมีการกระทบกันเท่านั้น ไม่ได้เป็นของไม้ตีระนาด มันเป็นเพียงการกระทบกันเพราะยังมีเหตุ "

เพราะความที่ไม้ตีระนาดเข้าใจผิดไปเองว่าทั้งระนาด ทั้งเสียงระนาดเป็นของมัน นี่จึงนำมาซึ่ง " ความทุกข์ " มาตลอด สุดท้ายความเข้าใจผิดทั้งหมดในชั้นลึกที่สุด เกิดมีขึ้นมาได้ ก็จากความเป็นตัวตนของไม้ตีระนาดเอง ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตนอยู่แล้ว 

เพราะความเข้าใจผิดที่ยึดว่า " สติ " ก็ของเรา " ปัญญา " ก็ของเรา เรารู้แจ้งแล้ว แม้สัมมาทิฏฐิมีอยู่ แต่มันยังไม่สามารถวางสัมมาทิฏฐิได้ จนในที่สุดจากการรู้แจ้งอริยสัจจนถึงที่สุด ...

สัมมาทิฏฐิ จึงเป็นเหตุ เกิดผลเป็น สัมมาญาณและสัมมาวิมุตติ ทีนี้จึงเป็นญาณ (ความรู้ ปัญญา) แท้จริงที่ปราศจากผู้ยึดถือ นี้จึงเป็นวิมุตติแท้ ว่างจากผู้วิมุตติ (หลุดพ้น) เป็นการคืนสู่ธรรมชาติโดยปราศจากตัวตนใดๆ อันก่อให้เกิดความยึดถือใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่อเกิดความเห็นถูก ไม้ตีระนาด ระนาด เสียงระนาด ล้วนเป็นอิสระว่างจากตัวตนกันหมด โดยความจริงก็ว่างกันอยู่แล้ว มันเพียงมีความรู้สึกที่ถูกสร้างขึ้นมาเองด้วยความไม่รู้ นี่จึงไปสร้างเหตุเกิดของขันธ์อันสืบเนื่อง ภพ ชาติอันสืบเนื่อง ไม่หยุดหย่อน

วันนั้น ทั้ง " ผู้รู้ " " ผู้ถูกรู้ " ที่แท้ก็เป็นสิ่งเดียว ล้วนเป็นธรรมชาติที่ว่างจากตัวตนทั้งสิ้น เมื่อนั้นจะหมดเหตุปัจจัยใดๆในการก่อทุกข์ เพราะหมดเหตุแล้ว หยุดการก่อร่างสร้างการเกิดใดๆ 

นี้คือที่สุดแห่งทุกข์ คือ พระนิพพาน ...

อาจารย์ประเสริฐ  อุทัยเฉลิม