คนเราถูกลวงด้วยของเป็นคู่ๆ
…. “ วันนี้ เราควรจะพิจารณากันว่า ทําไมสัตว์จึงได้ตกอยู่ในอํานาจการยั่วยวนของสังสารวัฏฏ์ หรือว่าในสังสารวัฏฏ์นั้นมีอะไรเป็นเครื่องยั่วยวน จึงมีรส มีเสน่ห์ ดึงดูดสัตว์ไม่ให้หลุดไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ ในข้อนี้ ขอตอบว่า เพราะมีการถูกลวงด้วยของเป็นคู่ นั่นเอง ซึ่งเราจะกล่าวกันถึงสิ่งนี้.
…. การถูกลวงด้วยของเป็นคู่ หมายความว่า ของที่มีอยู่เป็นคู่ ๆ ในสังสารวัฏฏ์นั้นเอง ทําให้เกิดการเข้าใจผิด สิ่งเหล่านั้นเป็นมายา ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่สัตว์ที่มาเกี่ยวข้องกับสังสารวัฏฏ์, สิ่งทั้งหลายในสังสารวัฏฏ์ย่อมมีอยู่ในฐานะเป็นคู่ การจมอยู่ในสังสารวัฏฏ์ก็เพราะอํานาจของการถูกลวงด้วยของเป็นคู่ๆ นี้เอง อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่สัตว์เดียรัจฉานซึ่งมีความคิดนึกน้อย ทําอะไรได้น้อย ก็ตกอยู่ในวิสัยที่ถูกลวงด้วยของเป็นคู่ ๆ อย่างเดียวกัน
…. ของเป็นคู่ๆในที่นี้ ก็คือ สิ่งที่เราคิดว่า “มันตรงกันข้ามกัน” ซึ่งท่านทั้งหลายก็เห็นกันอยู่ทุกวัน หรือเรียกร้องกันอยู่ทุกวันนี้แหละ ของคู่มีอยู่มากจนเหลือที่จะกล่าว ยกมาพอเป็นตัวอย่างก็เช่น ร้อน – เย็น นี้ก็เรียกว่าคู่หนึ่ง อันหนึ่งร้อน อันหนึ่งเย็น, นอก - ใน นี้ก็คู่หนึ่ง, หน้า - หลัง, เข้า - ออก, สั้น - ยาว, สวย - ขี้เหร่ ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น มันมีความเป็นคู่ๆ คู่ๆ ตรงกันข้ามกันอย่างนี้ ตลอดจน ความดี - ความชั่ว, บุญ – บาป, สุข - ทุกข์ เหล่านี้ ล้วนเรียกว่าเป็นของคู่ๆ ทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้มีมายาที่ทําให้คนเข้าใจว่าเป็นคู่ แล้วเกิดแบ่งความรู้สึกเป็น “ชอบ หรือ ไม่ชอบ” ตามของคู่นั้น ๆ เมื่อตกอยู่ในอํานาจการลวงของของเป็นคู่ ๆแล้ว เราจะต้องรักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วเกลียดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อรักสิ่งใดก็ต้องเป็นไปตามอํานาจของสิ่งนั้น นี่เป็นที่ตั้งของกิเลสในวาระแรก ที่นี้ เราจะต้องศึกษาให้เข้าใจถึงความจริง ไม่ให้ของเป็นคู่ๆ นี้หลอกลวงได้อีกต่อไป
…. เรื่องในฝ่าย “ศีลธรรม” เราวางกฎเกณฑ์ที่อนุวัตรไปตามของที่เป็นคู่ คือว่าอยากได้ในฝ่ายที่นิยมกันว่าดี ว่าถูก ว่าจริง เป็นต้น ; แล้วก็รังเกียจฝ่ายที่ ไม่ดี ไม่ถูก ไม่จริง เป็นต้น
…. แต่ในฝ่าย “สัจจธรรม” เราถือว่าของเหล่านั้นเหมือนกัน ไม่มีอันไหนที่น่ารัก น่าเอา ; ไม่มีทางที่จะคัดออกมาเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนา แต่เป็นของที่ไม่ควรยึดถือว่าเป็นของที่น่าปรารถนา เหมือนกันหมด
…. ฉะนั้น ปัญหาเรื่องของคู่นี้ จึงมีอยู่มาก เพราะว่าฝ่ายหนึ่งหรือทางหนึ่ง ในขั้นศีลธรรมนั้น มีวิธีปฏิบัติอย่างหนึ่ง เพื่อให้ถูกตามความนิยมของศีลธรรม ; ส่วนฝ่ายสัจจธรรมนั้น มีอีกอย่างหนึ่งซึ่งตรงกัน โดยเหตุนี้ ถ้ายังหลงไปตามความลวงของของเป็นคู่ ก็ต้องตกอยู่ใต้กฎเกณฑ์ของศีลธรรม หรือกฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นธรรมดา ไม่อาจจะหลุดพ้นออกไปได้ เราจึงเห็นได้ว่า ของคู่ ๆนี้เป็นเรื่องของสมมติ อยู่ในขั้นของศีลธรรม ทําอย่างไรเสียก็ไม่พ้นจากวัฏฏสงสารได้ ถ้าคนยังถูกลวงอยู่ในของที่เป็นคู่...
…. ในที่นี้ต้องการจะชี้ให้เห็นว่า ของที่เป็นคู่ๆนี้ บัญญัติขึ้นตามความรู้สึกของสัตว์ ที่ถูกลวงด้วยของเป็นคู่นั้นเอง และเป็นที่ตั้งของสิ่งที่เป็นวิสัยโลก ต่าง ๆ นานา เช่นว่า ประดิษฐกรรมต่างๆ ที่รู้จักประดิษฐ์นั้นประดิษฐ์นี่ขึ้นมา หรือว่าอารยธรรมแผนใหม่ต่าง ๆ ตลอดถึงวัฒนธรรม กระทั่งศีลธรรม ในที่สุด ล้วนแต่อนุวัตรให้เป็นไปตามความลวงของของที่เป็นคู่ๆ นี้ทั้งนั้น
…. ส่วนสัจจธรรมนั้น เป็นเรื่องที่ลืมหูลืมตาอย่างเต็มที่ ไม่ถูกลวงด้วยของเป็นคู่อีกต่อไป. ทีนี้เราจะได้พิจารณาให้เข้าใจกัน ถึงของที่เป็นคู่ๆนี้ ให้เป็นที่เข้าใจชัดเจนกันเสียก่อน จึงจะทราบชัดว่า มันลวงอย่างไร
…. การจับคู่ เป็นคู่ๆ ก็หมายถึง สิ่งที่ตรงกันข้ามเสมอ เรามีทางที่จะจัดคู่เป็น ๒ ประเภทด้วยกัน คือ เป็นคู่ๆกัน แต่ในวิสัยโลก นี้อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการลวงอย่างยิ่ง แล้วเป็นคู่ๆกันในระหว่างวิสัยโลกกับโลกุตตระอีก ประเภทหนึ่ง อันนี้ลวงน้อยหน่อย. แต่ถ้าจะหลุดพ้นจริงๆแล้ว จะต้องพ้นจากความรู้สึกที่เป็นคู่ทุกคู่ ทุกประเภท เสมอไป….”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายชุดตุลาการิกธรรม ครั้งที่ ๖/๒๕๐๐ หัวข้อเรื่อง “การถูกลวงด้วยของเป็นคู่” อบรมผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษา ณ ห้องบรรยายของเนติบัณฑิตยสภา