ในขั้นแรกนี้ ต้องมีความพยายามมากหน่อย เพราะเป็นความพยายามที่สวนทางกับความคิดความเคยชินเก่าๆ ที่ชอบใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ ท่านจึงแนะนำให้เราหัดตั้งสติกันก่อน
เมื่อได้สติก็ให้ทำความรู้ตัวที่กาย ที่อิริยาบถการเคลื่อนไหวต่างๆของเรา ให้มีหลักมีแนวอยู่อย่างนี้ ไม่ปล่อยตนเองไปตามความคิดตามอารมณ์ที่แทรกซ้อนขึ้นมา
จะเบื่อหน่ายลังเล คิดไปคิดมาอย่างไร
ก็ให้รู้จักวางอารมณ์นั้นๆ กลับมาทำหน้าที่หลักคือ การเป็นผู้อยู่ด้วยสติรู้ตัว หัดเป็นผู้รู้จักวางความคิด วางอารมณ์นั้นๆ กลับมาทำหน้าที่หลัก คือ การเป็นอยู่ด้วยสติรู้ตัว
ขณะที่เรารู้จักปลุกสติสัมปชัญญะตื่นตัวตั้งมั่นขึ้นมาได้แล้ว เราจะเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่เป็นคนครุกกรุ่นอยู่ ในอารมณ์หนึ่ง อ่อนไหวเกินไปแข็งกร้าวเกินไป อะไรต่างๆเราจะเริ่มสุขุมขึ้น
จิตเราจะเริ่มละเอียดอ่อน เห็นภาวะ เห็นความเป็นจริงต่างๆตามที่เป็นอยู่ เห็นกาย เห็นจิต เห็นอารมณ์ความคิดของตนเอง อย่างรู้เท่าทันจริงๆ
การเห็นภาวะอาการต่างๆในจิต เห็นจิตในจิต เห็นกระแสความคิด ความเชื่อความทะยานอยากตามความเคยชินของตนเองอย่างตรงไปตรงมา
จะทำให้เราเกิดปัญญาญาณ รู้จักตนเอง รู้จักปลด รู้จักวางทิฏฐิมานะ ที่เราคิด ติด ยึด ต่างๆนานา อย่างที่เราไม่เคยนึก ไม่เคยเห็นมันมาก่อน วางไปละไป อาศัยปัญญาญาณจากการเห็นภาวะเห็นจิตในจิตของตนเอง
จะทำให้เรารู้จักปลดเปลื้องตนเองจากอารมณ์จากนิสัยเดิมๆมากขึ้น ชีวิตเราจะเป็นอิสระ ตื่นตัวขึ้น เป็นชีวิตประจำวันที่มีความรู้สึกตัวพร้อมโต้ตอบ อยู่กับงานกับการต่างๆมากขึ้นเป็นลำดับ
หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
หนังสือ ตถตา หน้า ๑๗๙