Recent Posts

หลักของสติ

 


 

    หลักของสติก็คือปัจจุบัน ให้จิตอยู่ในปัจจุบัน อยู่กับการกระทำของร่างกาย 

    

    ถ้าอยู่กับการกระทำของร่างกายก็จะมีสติ ถ้าปล่อยให้ร่างกายอยู่ไปตามลำพัง ส่วนจิตไปคิดเรื่องอื่นก็จะไม่มีสติ 

    

    ถ้าไม่มีสติก็จะไม่สามารถทำใจให้สงบได้ เพราะใจไม่อยู่กับที่ ไปที่โน่นมาที่นี่ คิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ พวกเรามีสติกันน้อยมาก มีพอกับการดำรงชีพ มีสติอยู่กับการกระทำเพียงแวบเดียว แล้วก็ไปคิดเรื่องอื่น แล้วก็กลับมาที่การกระทำ ไม่ได้อยู่กับการกระทำอย่างต่อเนื่อง ใจจึงไม่นิ่ง มีอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ตามความคิดปรุงแต่งต่างๆ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็เกิดอารมณ์ต่างๆ ขึ้นมา อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ อยากไม่ให้เป็นอย่างนั้น อยากไม่ให้เป็นอย่างนี้ เกิดความดีใจเสียใจไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นไปตามความอยากก็ดีใจ ถ้าไม่เป็นไปตามความอยากก็เสียใจ ชีวิตของพวกเราจึงวนไปเวียนมากับความดีใจเสียใจ 

    

    ถ้าสามารถควบคุมใจให้นิ่ง ไม่ให้อยาก ใจก็จะไม่เสียใจหรือดีใจ จะรู้สึกเฉยๆ กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่เดือดร้อนไม่วุ่นวาย ไม่ดีใจไม่เสียใจ เฉยๆ สบายๆ ดีกว่าเสียใจหรือดีใจ เพราะเวลาดีใจก็อยากจะให้ดีใจไปเรื่อยๆ พอไม่ดีใจก็จะเสียใจ ปัญหาของพวกเราคือไม่มีสติ ที่จะคอยควบคุมใจให้อยู่เฉยๆ ให้สักแต่ว่ารู้ เช่นทำอะไรก็ให้สักแต่ว่ารู้ กำลังเดินก็รู้ว่ากำลังเดิน กำลังรับประทานอาหาร ก็รู้ว่ากำลังรับประทานอาหาร ไม่คิดเรื่องราวต่างๆ

    

    การเจริญสติจึงเป็นงานที่สำคัญมาก เป็นกุญแจสำคัญต่อการพัฒนาธรรมะต่างๆ คือสมาธิปัญญาและวิมุตติการหลุดพ้น จะเกิดขึ้นจากการเจริญสติเป็นจุดเริ่มต้น เหมือนกับการเรียนหนังสือ ต้องเริ่มต้นที่การเรียน ก. ไก่ ข. ไข่ จนจำได้ทุกตัวอักษร จากนั้นก็หัดสะกด สระ อะ สระ อา แล้วก็ผสมตัวอักษร ศึกษาคำนิยามของแต่ละคำ ก็จะอ่านออกเขียนได้ การบรรลุมรรคผลนิพพาน มีปัญญา มีสมาธิ ต้องมีสติก่อน 

    

    พวกเราสามารถเจริญสติได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่วัดหรืออยู่ที่ทำงาน พอตื่นขึ้นมาก็ควรตั้งสติเลย ผูกจิตให้อยู่กับร่างกาย ไม่ให้จิตไปที่อื่น ให้ดูว่าร่างกายกำลังทำอะไร กำลังนอน กำลังลุกขึ้น กำลังยืน กำลังเดิน กำลังทำกิจต่างๆ กำลังล้างหน้าล้างตาอาบน้ำแปรงฟัน กำลังแต่งตัว ต้องอยู่กับการกระทำ ไม่ไปคิดเรื่องอื่น ถ้ามีความจำเป็นต้องคิด ก็ให้หยุดการกระทำของร่างกายไว้ก่อน แล้วเอาสติมาจดจ่ออยู่กับความคิด ให้คิดด้วยเหตุด้วยผล คิดไปตามความจำเป็น พอคิดเสร็จแล้ว ก็หยุดคิด อย่าคิดเพ้อเจ้อเพ้อฝัน อยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่เกิดประโยชน์ ไม่ควรคิด ควรหันกลับมาเฝ้าดูการกระทำของร่างกาย จะสามารถควบคุมความคิดได้


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต