นิพพานอยู่ในวิสัยที่เรารับได้
พิจารณาดูให้ดีว่า การพูดอย่างนี้ พูดได้ไหมว่า เรามีนิพพานและวัฏฏสงสารสลับกันอยู่ ตลอดวันตลอดคืน, คือชีวิตปกติธรรมดา ของคนธรรมดาก็ยังมีนิพพานสลับกันอยู่กับวัฏฏสงสาร. แต่นิพพานนั้นมันเป็นขณะ ชั่วขณะ ที่วัฏฏสงสารไม่เกิดขึ้น, มันจึงยังไม่ใช่นิพพานสมบูรณ์เท่านั้นเอง, แต่มันก็มีรสชาติมีลักษณะเหมือนกัน.
บางทีเราเปรียบกันกับน้ำที่ไม่ถูกลมพัด, น้ำที่ไม่ถูกลมพัดมันก็เรียบ เรียบสนิท คือไม่มีคลื่น ก็คือสงบ คือไม่มีคลื่น. แต่แล้วมันมีคลื่นมา มีลมพัดมา มันก็เป็นคลื่นเสียอีก. เดี๋ยวก็สงบอีก, เดี๋ยวก็เป็นคลื่นเสียอีก. เมื่อเราหยุดลมเสียได้หยุดลมที่มาพัดเสียได้ มันก็คือเงียบสงบตลอดกาล. ถ้าพูดถึง ลักษณะอาการมันเงียบเหมือนกัน : เงียบชั่วคราว หรือเงียบตลอดกาล ลักษณะอาการก็เงียบเหมือนกัน,มันสุดแต่เวลา. อันหนึ่งมันเปลี่ยนแปลงได้, อันหนึ่งมันไม่เปลี่ยนแปลงอีก.
ฉะนั้นเราก็ถือว่าเป็นนิพพานอย่างเดียวกัน, นิพพานที่สลับกันอยู่กับวัฏฏสงสาร กับนิพพานที่สิ้นสุดแห่งวัฏฏสงสารแล้ว. นี้ก็นิพพานอย่างเดียวกัน โดยลักษณะ หรือว่าโดยความหมายในรสชาติของมัน คือความสุข. มีความสุขอย่างเดียวกัน.
ความสุขมันมากไปกว่านั้นไม่ได้ คือเป็น ความสุขเท่าที่ไม่มีกิเลสรบกวนมันก็สุขเท่านั้นเอง;แต่ความรบกวนนี้มันเป็นอย่างที่กล่าวแล้ว ว่า ถ้ายังเป็นบุถุชนอยู่ก็เปลี่ยนแปลงได้, เดี๋ยวก็มารบกวนอีกได้. ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว กิเลสก็ไม่รบกวนอีกต่อไป; แต่ความสุขที่เราได้จากการที่กิเลสไม่รบกวนนี้เหมือนกัน.
ที่เทียบอย่างนี้ ก็เพื่อว่า ให้ทุกคนสังเกตดูให้ดี ๆ ว่าเวลาที่สบายใจนั่นแหละ เป็นเวลาที่ควรจะเรียกว่านิพพาน; แต่เดี๋ยวนี้เราไม่สนใจ แล้วเราไม่เชื่อว่า มีนิพพานในลักษณะอย่างนี้, เพราะเรารับคำสอนมาว่ายังอีกนาน. ที่สอน ๆ อยู่นี้ว่ายังอีกนาน อีกหลายร้อยชาติ อีกหลายพันชาติ อีกหลายแสนชาติ หลายอสงไขยชาติเราจึงจะได้นิพพาน;ฉะนั้นคนเหล่านี้ จึงไม่สนใจ ที่จะรู้จักนิพพานที่มีอยู่เป็นประจำวัน,เพราะเขาไม่เคยคิดว่า นิพพานมีอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นนิพพานที่ยังเปลี่ยนแปลงได้ตามความแทรกแซงของวัฏฏสงสารเท่านั้นเอง.
พุทธทาสภิกขุ