"...บางคนรู้สึกเหมือนจิตมันคุยกัน
จิตมันพูดกันในจิต
พูดอย่างนี้ ตอบอย่างนั้น
เมื่อรู้ไม่ทันก็กลับหลงว่า
เป็นนิมิต เครื่องหมาย
สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาไป
ที่จริงก็คือจิตที่คิดนั่นแหละ
คิดอย่างนี้ไปอย่างนั้น
เป็นภาษาเป็นคำพูด
ถ้ารู้ได้ตรงจิตเวลามีคำพูด
ภาษาก็จะอันตรธาน
เรียกว่าสามารถตัดความปรุงแต่ง
ทำให้ความปรุงแต่งต่าง ๆ หยุดลงได้
ไม่ผลิตเป็นภาษา
หรือคำพูดอะไรขึ้นมา
แต่มันก็เป็นไปชั่วระยะหนึ่ง
เดี๋ยวมันก็ผลิตอีก
ปรุงแต่งวิพากษ์วิจารณ์
ภาษาก็เกิดขึ้นมาอีก
เรียกว่าคิดนึกเป็นเรื่องเป็นราว
ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติเมื่อปฏิบัติ
ไปอย่างแยบคาย
ก็จะเห็นต้นกำเนิดของความคิด
พอจิตมันตรึกนึกก็รู้ทัน
พอนึกก็รู้ทัน ๆ มันก็นึกไปไม่ได้
พอรู้ทันมันก็ไม่นึกขยายออกไป
มันจะสลายตัว จะทำลายความปรุงแต่ง
หยุดความปรุงแต่ง
พอปรุงนึกรู้ทัน มันก็ไม่ไปไหน
ถ้ารู้ตรงบ่อย ๆ ปล่อยวางถูกต้อง
จิตก็จะเกิดสมาธิขึ้นโดยธรรมชาติ
ถ้ารู้ที่จิตบ่อย ๆ
รู้ตรงที่ความปรุงแต่งบ่อย ๆ
จะเกิดสมาธิขึ้นมา
โดยไม่ต้องจงใจเพ่งสร้างสมาธิ
สมาธิจะเกิดมากขึ้นมาเอง
จะรู้สึกว่าจิตใจสงบ
ดื่มด่ำลงไปอีกระดับหนึ่ง
คือสงบว่างลงไป
แต่มันเป็นความสงบว่างแบบมีสภาวะ
ว่างในทีนี้หมายถึงว่างจากสมมติ
ว่างจากความสำคัญมั่นหมาย
จากความปรุงแต่ง
แต่มันเป็นสภาวะ
เป็นธาตุรู้เป็นสภาพรู้อยู่
เป็นระยะขณะหนึ่งแล้วก็ปรุงได้อีก
มีภาษามีความหมายก็รู้สึก
ขอฝากไว้สำหรับท่านที่ปฏิบัติถึงจุดนี้
ก็ลองสังเกตสิ่งเหล่านี้ดู..."
หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี