ให้ทำความรู้ตัวอยู่กับจิตผู้รู้อย่างสบายๆ
ไม่เพ่งจ้องหรือควานหา ค้นคว้า พิจารณาเข้าไปที่จิตผู้รู้เพียงแค่รู้อยู่เฉยๆเท่านั้น
ต่อมาเมื่อมีความคิดนึกปรุงแต่งอื่นๆเกิดขึ้น ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ชัดเจนเช่น เดิมมีความนิ่งว่างอยู่ ต่อมาเกิดคิดถึงคนคนหนึ่ง แล้วเกิดความรู้สึกรัก หรือชังขึ้น ก็ให้สังเกตุรู้ความรัก ความชังนั้น
และเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
ตัวจิตผู้รู้มีอยู่ต่างหาก
ให้รู้ตัวไปเรื่อยๆ สิ่งใดเป็นอารมณ์ปรากฏขึ้นกับจิต ก็ให้มีสติรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฎนั้น ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่เผลอส่งจิตเข้าไปในอารมณ์นั้น ตรงที่จิตไม่เผลอ ส่งออกไปนั้นเอง คือความรู้ตัว หรือสัมปชัญญะ เรื่องสตินั้นเข้าใจง่ายเพราะหมายถึงตัวที่ไปรู้เท่าอารมณ์ที่กำลังปรากฎ
เช่นคนที่อ่านหนังสือ สติจดจ่ออยู่กับหนังสือจึงอ่านหนังสือได้รู้เรื่อง คนขับรถ สติจดจ่ออยู่กับการขับรถก็ทำให้ขับรถได้
ฉะนั้น โดยธรรมชาติแล้วคนมีสติอยู่เสมอ เมื่อจิตตั้งใจรู้อารมณ์แต่จะเป็นสัมมาสติได้ก็ต่อเมื่อมีสัมปชัญญะ คือความรู้ตัวไม่เผลอควบคู่ไปด้วย ความรู้ตัวไม่เผลอนั้นเข้าใจยากที่สุด เพราะถามใครเขาก็ว่าเขารู้ตัวทั้งนั้น ทั้งที่จริงยังมีความหลง(โมหะ)แฝงอยู่เกือบตลอดเวลา
สัมปชัญญะที่ใช้เจริญสติปัฏฐานจะต้องเป็น "อสัมโมหสัมปชัญญะ"เท่านั้น ยกตัวอย่างเมื่อเราดูโทรทัศน์ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ใจรู้คิดนึกตามเรื่องของละครไป ในขณะนั้น เรามีสติดูโทรทัศน์ แต่อาจไม่มีสัมปชัญญะ เพราะเราส่งจิตหลงไปทางตา ทางหู และทางใจ เราลืมนึกถึงตัวเอง ที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ อันนี้เรียกว่าไม่มีสัมปชัญญะหรือไม่รู้ตัว
บางคนเดินจงกลมกำหนดรู้เท้าซ้าย เท้าขวา รู้ความเคลื่อนไหวของกาย อันนั้นมีสติ แต่อาจไม่มีสัมปชัญญะ ถ้าส่งจิตเผลอไปในเรื่องของเท้า และร่างกาย มัวแต่จดจ่อที่เท้าและร่างกาย ที่กำลังเคลื่อนไหว จนเหมือนกับลืมตัวเอง เหมือนตัวเองหรือตัวจิตผู้รู้นั้นไม่มีอยู่ในโลกเลยในขณะนั้น ความรู้ตัวหรือการไม่หลงเผลอส่งจิตออกไปตามอารมณ์ภายนอกนั้นเองคือ สัมปชัญญะ
วิธีฝึกให้ได้สัมปชัญญะที่ดีที่สุดคือการทำ สมถกรรมฐาน เช่นการบริกรรม พุธโธ จนจิตรวมเข้าถึงฐานของมัน แล้วรู้อยู่ตรงฐานนั้นเรื่อยๆไป หากมีอารมณ์มาล่อทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ไม่เผลอหลงลืมฐานของตน ส่งจิตตามอารมณ์ไปอย่างไม่รู้ตัว....
ให้ทำความรู้ตัวอยู่กับจิตผู้รู้อย่างสบายๆ ไม่เพ่งจ้องหรือควานหา ค้นคว้า พิจารณาเข้าไปที่จิตผู้รู้เพียงแค่รู้อยู่เฉยๆเท่านั้น ต่อมาเมื่อมีความคิดนึกปรุงแต่งอื่นๆเกิดขึ้น ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ชัดเจนเช่น เดิมมีความนิ่งว่างอยู่ ต่อมาเกิดคิดถึงคนคนหนึ่ง แล้วเกิดความรู้สึกรัก หรือชังขึ้น ก็ให้สังเกตุรู้ความรัก ความชังนั้น และเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น ตัวจิตผู้รู้มีอยู่ต่างหาก ให้รู้ตัวไปเรื่อยๆ สิ่งใดเป็นอารมณ์ปรากฏขึ้นกับจิต ก็ให้มีสติรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฎนั้น ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่เผลอส่งจิตเข้าไปในอารมณ์นั้น ตรงที่จิตไม่เผลอ ส่งออกไปนั้นเอง คือความรู้ตัว หรือสัมปชัญญะ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล