Recent Posts

สลายความคิด เข้าสู่จิตเดิมแท้

 


........ สติรู้ตัวตลอด ไม่ประมาท

ความไม่ประมาทนั้น. เราก็ต้องตั้งสติสัมปชัญญะแนบรู้อยู่กับร่างกายตลอดเวลาเคลื่อนไหวยืนเดินนั่งนอนทั้งวัน. พึงกระทำให้มากให้ชำนาญอย่างยิ่ง. และจิตใจของเราก็จะสงบเยือกเย็น. มีความตั้งมั่นอยู่กับตัวของตัวเองได้. อยู่กับตัวร่างกายเป็นหลักไว้เคลื่อนไหวยืนเดินนั่งนอนทั้งวันอยู่อย่างนั้น. ต่อไปจิตใจของเราก็จะเป็นแต่ตัวของตัวเองเท่านั้นหรือสงบเยือกเย็นและเป็นสมาธิตั้งมั่น ลุถึงธรรมชาติดั้งเดิมแห่งเรา ซึ่งปราศจาก กายเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณขันธ์ทั้งหมดนั่นแหละ .....

.......... เรียกว่าบำเพ็ญปฏิบัติ. เจริญสติสมาธิสัมปชัญญะปัญญาชอบ เพื่อถึงธรรมชาติดั้งเดิมนั่นเอง. เจริญสติสมาธินั้นก็เพื่อถึงฐีติภูตังจิตดั้งเดิมแห่งเรา. เราก็ต้องรู้จัก. ทางปัญญานี้เราก็ต้องเจริญเพิ่มเติมด้วย. หากจิตเรานั้นยังมีความหลงใหลมีความยึดมั่นในร่างกายหลงเหลืออยู่. หากใจยังมีความกำหนัดยินดี หรือความยึดมั่นความหลงใหล อันใดอันหนึ่ง ยังมีเหลืออยู่ในร่างกายนั้น เราก็ต้องเจริญสติปัญญาพิจารณาร่างกายด้วยนี้เป็นสิ่งสำคัญมากเลย ......

.......... รู้จักเจริญสติ ปัญญาพิจารณาร่างกายนั้นด้วย. จนกว่าว่าเราจะมีความรู้แจ้งแทงตลอดในร่างกายนั้นแบบหายสงสัยเจนจบ. เรียกว่ารู้แจ้งแทงทะลุแทงตลอด จนกระทั่งว่า ความสวยงามความสัมผัสทางกายต่างๆครอบงำดวงจิตไม่ได้. จนกระทั่งว่า ความหลงใหลในร่างกาย ความยึดมั่น ความกำหนัดยินดีในร่างกาย ไม่มีความหลงเหลืออยู่ในใจอีกต่อไปนั่นแหละ. เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว. คือจิตที่รู้แจ้งในร่างกายนั้น การแจ้งถึงที่สุดนั้น. ต้องไม่เหลือความหลงใหล ความกำหนัดยินดีความยึดมั่นในร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งไว้เลย. อันนั้นแหละจึงจะเรียกว่ารู้แจ้งแทงตลอดในกาย ......

.......... เมื่อแจ้งเจนจบในร่างกายอย่างแท้จริง. เมื่อนั้นจึงจะหมดหน้าที่ของการพิจารณาร่างกายนั้น. ต่อจากนั้นอยู่กับจิตอย่างเดียว. พิจารณาจิตนั้นก็คือจำพวกเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ. โดยเฉพาะสังขารความคิดถึงปรุงแต่งถึงสิ่งทั้งหลายในจิตใจนั้น. เราอย่าไปหลงเรื่องราวของความคิดทั้งหลาย. คือการหลงเรื่องราวของความคิดทั้งหลาย. อันนั้นยังลงสมมติ. การรู้เรื่องราวที่คิดๆๆนั้น เรียกว่ารู้สมมติ เป็นเหตุให้หลง เกิดภพชาติตัณหาความทะยานอยากเรื่อยไปไม่มีจบไม่มีสิ้น ......  

.......... แต่การรู้แบบปรมัตถ์. จะตัดขาดซึ่งความคิดถึงปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงออกไปจากใจได้นั้น. คือเราต้องรู้เท่าทันตัวความคิด. หรือรู้เท่ารู้ทันน่ะ. รู้เท่าทันความคิด. รู้เท่าทันทีนี้. การรู้เท่าทันความคิดน่ะ มันจะตัดสังขารความคิด. มันจะเห็นความคิดเกิดดับด้วยใจอย่างชัดเจน. แล้วการพิจารณา มันจึงพิจารณาสลายความคิดนั้นเข้าสู่จิตเดิมแท้ได้ .......

.......... สลายความคิดเข้าไปสู่จิตเดิมแท้นั่นแหละเป็นหลักเลย ทั้งวัน จนจิตอยู่กับจิตเดิมแท้แบบเป็นเนื้อเดียวกันเลย. จนมันดับความลุ่มหลงในความคิดทั้งปวงได้นั่นแหละ. บริสุทธิ์บริบูรณ์. พุทธะอันอันเกษมนั่นแหละ. เป็นวิหารธรรมเครื่องรู้เครื่องอยู่. เพราะว่าการปรุงแต่งคิดนึกทั้งหลาย มันเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงตลอดกาล. มันจึงเป็นสิ่งที่อิงอาศัยอะไรกับมันไม่ได้เลย แม้แต่ซักอนุภาคเดียว. เมื่อเราไม่อิงอาศัยในความคิดนึกถึงสิ่งทั้งปวงนั้นแล้ว. ก็เป็นอันว่า จิตของเราก็จะเป็นอิสระจากรูปธรรมทั้งปวงอยู่ในตัวเสร็จเรียบร้อย. และเมื่อเราจำเป็นที่จะต้องอิงอาศัยความคิดในการที่จะตอบสนองปรากฏการณ์ทั้งหลายในชีวิตความเป็นอยู่นี้. ก็จงฝึกหัดใช้มันด้วยวิชาและวิมุตติธรรมนั่นเอง  เอวัง

...........................................

พระอาจารย์เจษฎา อาภากโร

วัดป่าบ้านหนามแท่ง 

ต.คำขวาง 28 ธ.ค.2563

อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี