ถ้าหากเราเอาความคิดมาใช้ขณะที่ปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญานั่นจะเรียกว่า “วิปัสสนึก” เพราะฉะนั้น #นักปฏิบัติต้องเข้าใจว่าวิปัสสนากับวิปัสสนึกคืออะไร นึกเอาเหมือนกันหมดใช่หมดแต่ก็ไม่ยอมวางเพราะมันนึกเอาคิดเอา...
และอีกตัวนึงก็คือใช้ความจำไปสอนว่าอย่างนั้นอย่างนี้มันไม่เที่ยงหนอไปคิดหรือไปหมายว่ามันอย่างนั้นอย่างนี้ #ใช้สัญญาทั้งหมดหมายคาดว่ามันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ๆนั้น ก็คือการเป็น “วิปัสสนู” นึกเอาคาดหมายเอา...
นักปฏิบัติธรรมที่ไม่สามารถที่จะเข้าถึงวิปัสสนาได้ก็ใช้ 2 ตัวนี้ วิปัสสนึกกับวิปัสสนู เข้าใจเหมือนกันแต่มันไม่วาง นักปฏิบัติที่ปฏิบัติส่วนมากเป็นอย่างนั้นรู้หมดเข้าใจหมด “#แต่ทำไมไม่วางสักที”เพราะมีแต่วิปัสสนึกกับวิปัสสนู...
แต่วิปัสสนาไม่ได้เกี่ยวกับเราเลยธาตุรู้ที่มันมีอวิชชาเนี่ยเอาธาตุรู้เนี่ยไป #สัมผัสเบาๆอยู่กับความจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วธาตุรู้เขาจะได้ประสบการณ์ของเขาเองโดยที่ไม่ต้องไปนึกช่วยอันนี้คือการสอนธาตุรู้...
การที่จะทำให้ธาตุรู้เขามีปัญญาขึ้นก็เหมือนการที่เราไปเข้าโรงเรียนนั้นเอง เราไปโรงเรียนเราไปฟังครูบรรยายดูหนังสือจนเราเข้าใจหนังสือเข้าใจครูที่บรรยายจากเสียงขึ้นมา...
แต่ธาตุรู้ก็ต้องการโรงเรียนเหมือนกัน #โรงเรียนของธาตุรู้ก็คือกายนั้นเองฐานที่กลางออก แต่การเรียนรู้ของ #ธาตุรู้นี้เขาไม่ต้องการคำพูดไม่ต้องการตัวหนังสือ แต่เขาต้องการสิ่งที่แสดงปรากฏขึ้นเรียกว่า “สภาวะ”...
ธาตุรู้ก็จะเรียนรู้ด้วยตัวเขาเองโดยสภาวะ เขาจะเอาสภาวะเนี่ยมาสอนเขาเอง เมื่อสภาวะแสดงบ่อยๆธาตุรู้ก็จะแยกออกเองว่าอันนี้คืออะไร อันนั้นคืออะไรโดยที่ไม่ต้องใส่ชื่อ...
เมื่อธาตุรู้ดูสภาวะของ กาย เวทนา จิต ธรรม บ่อยๆเข้าแล้วเนี่ยสิ่งที่ปรากฏขึ้นก็คือเขาจะได้ขยาดเรียกว่า “ปัญญาญาณ”...
ได้ข้อมูลก็คือเขาจะจำของเขาเองคือจำแต่ความจริงที่ปรากฏขึ้นแล้วเกิดดับ #เขาจะได้รูปแบบของการเกิดดับ...
เมื่อเขาได้ #รูปแบบของการเกิดดับแล้วสิ่งที่เขาไม่สงสัยก็คือว่าที่เขายึดทั้งหมด ไม่ว่าสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ความเศร้าหมอง ผ่องแผ้ว กุศล อกุศลก็ตาม หรือ เย็น ร้อน อ่อน แข็งก็ตาม สิ่งนั้น “เกิดดับ”ทั้งหมด...
"พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท"