"ธาตุรู้เขาไม่ต้องการอะไรมากเขาต้องการเห็นสิ่งที่เกิดดับโดยสภาวะของเขาเอง #ไม่ใช่เราบอกว่ามันไม่เที่ยงหนอมันเป็นทุกข์หนอไม่มีตัวตนหนอมันไม่วางมันเข้าใจแต่มันไม่รู้ความหมายธาตุรู้ไม่รู้ความหมาย"...
เพราะฉะนั้นธาตุเขาต้องการรู้ความหมายก็ต้องเอารู้ไปแตะเบาๆกับความหมายของสภาวะนั้นๆ เขาต้องการเรียนรู้ความจริงซึ่งปรากฏขึ้นเท่านั้นธาตุรู้...
ซึ่งต่างกับการที่เราเรียนหนังสือต้องใช้ภาษาต้องใช้ตัวหนังสือมาอ่านใช้เสียงเราจึงเข้าใจเพราะเราต้องการความจำจากเสียง ต้องการความจำจากตัวหนังสืออักษรต้องการความจำจากตัวบทและตัวบัญญัติ...
แต่ธาตุรู้เขาไม่ต้องการสิ่งนั้นเลยเขาต้องการแค่บทเรียนของความรู้สึกเท่านั้นเอามาสอนเขาและบทเรียนของความรู้สึกมันไม่ต้องมีคำพูดไม่ต้องมีคำอธิบายเอาความรู้สึกที่ปรากฏขึ้นในกายใจของเราหน่ะเป็นการแสดงเพื่อให้ธาตุรู้เป็นสัมผัสเขาเรียนรู้ความรู้สึกได้ด้วยตัวของเขาเอง...
#จนเห็นว่าความรู้สึกของกายเกิดดับใจเกิดดับเขาจะวางได้เอง เพราะเขาสัมผัสบ่อยๆเป็นประจำจนเห็นว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นประจำๆจนคุ้นเคยกับความเกิดดับแล้ว...
แล้ว ธาตุรู้เขาจะดีดเองเขาสละออกเองเหมือนกับการที่เราสอนให้เขาจำๆให้ยึดเขายึดเองธาตุรู้ตรงนั้นจึงเป็นธาตุรู้ของอวิชชา...
เพราะฉะนั้นเราต้องการสร้างธาตุรู้ตัวใหม่ซึ่งเป็นวิชาของธาตุรู้ใหม่ๆเพื่อให้เขาเห็น #ความจริงสิ่งนี้เรียกว่าสัมมาทิฐิคือการเข้าไปเห็นความจริงของธรรมชาตินี้คือการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสภาวะเข้าไปแตะเพื่อให้เห็นความเกิดดับของเขา...
เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องการหลุดพ้นต้องการที่จะเข้าถึงความจริงโปรดจำไว้ว่าปฏิบัติแบบไม่ต้องปฏิบัติ ไม่ต้องคิดไม่ต้องจำไม่ต้องทำแค่รู้อย่างเดียว แล้วรู้อะไรรู้อยู่ในวงของ กาย เวทนา จิต ธรรม
"พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท"