Recent Posts

ไม่จับนั่นน่ะคือปล่อยอยู่ตลอดเวลา

 


#ไม่จับนั่นน่ะคือปล่อยอยู่ตลอดเวลา


การปฏิบัติที่เกี่ยวกับ #ตัวกูของกู นี่มักจะเข้าใจกันว่ามีหลักสำคัญไปในทางที่ว่าให้ปล่อย ให้ปล่อยวาง ให้ปล่อยวาง นี่พูดกันเรื่อย ให้ปล่อยวาง จนไอ้คำว่าปล่อยวางนี้มันก้องอยู่ในหูเรื่อย


ส่วนคำที่ถูก ที่สำคัญกว่าและถูกกว่า ที่ถูกต้องนั้นมันคือคำว่า #อย่าจับเอา อย่าไปจับมันเข้า...แต่เราไม่ค่อยจะพูดกันเรื่องว่าอย่าไปจับเข้า เราจะพูดกันแต่ว่าปล่อยวางๆ คอยเตือนกันอยู่แต่ว่าปล่อยวาง


ทีนี้ก็ให้คิดถึงพระพุทธภาษิตที่ว่า #ตามธรรมดาจิตเป็นประภัสสร มันยังไม่ได้จับฉวยอะไร คือกิเลสยังไม่ได้เกิดขึ้นทำให้เศร้าหมอง ตามปกติจิตเป็นประภัสสร ไม่ได้จับอะไร ไม่มีกิเลสเกิดขึ้น นี่เราก็กำลังเป็นอย่างนั้นอยู่


ขอให้เข้าใจว่าไอ้เรื่องที่จะไปโกรธใครหรือกำหนัดในอะไรนั้น มันมีเป็นครั้งๆ คราวๆ ประเดี๋ยวประด๋าว ส่วนตลอดเวลานั้นน่ะมันคือไม่ได้กำหนัดขัดเคืองอยู่เป็นส่วนมาก คือไม่ได้จับอะไรอยู่เป็นส่วนมาก ที่ไปจับฉวยเข้านั้นมันมีเป็นส่วนน้อย นี่ขอให้มองข้อเท็จจริงอย่างนี้ให้เห็นชัดเสียก่อน

.

ทีนี้เราเล่าเรียนกันมาหรือถูกสอนกันมาในลักษณะที่ว่ามันยึดมั่นถือมั่นอยู่ตลอดเวลา ครูบาอาจารย์ก็สอนว่ามีอวิชชาอยู่ตลอดเวลา มีอุปาทานตรึงแน่นอยู่ในสันดานตลอดเวลา ก็พยายามจะปล่อยวางอุปาทานหรือ หรืออวิชชาเหล่านั้น นี่เคยพูดกันมาทีหนึ่งแล้วว่าไอ้เรื่องนี้มันผิด

.

เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า แม้อวิชชามันก็พึ่งเกิด #พึ่งเกิดเมื่อเผลอสติ เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง เป็นต้น อวิชชาจึงเกิด ส่วนอุปาทานนั้นก็เหมือนกัน เมื่ออวิชชามันเกิดนั่นมันจึงจะมีอุปาทาน ยึดถือในรูปเสียงกลิ่นรสนั้นๆ ในโอกาสที่มันเผลอสติ ฉะนั้นอะ อุปาทานมันก็พึ่งเกิดมาตามอวิชชา

.

เพราะฉะนั้นตามธรรมดามันก็ไม่ได้มีอุปาทานหรืออวิชชา คือมันว่างจากอุปาทานหรืออวิชชาก็ตามนี่อยู่ตามธรรมชาติ จนกว่ามันจะมีเหตุมา มีอารมณ์มากระทบ แล้วมันโง่ แล้วมันเผลอสติ แล้วมันก็เกิดอวิชชา เกิดอุปาทาน

.

ฉะนั้นการที่เราจะปล่อยวางนั้น มันยังไม่มีอะไรจะปล่อยวาง แต่ #เรามีหน้าที่ที่จะปฏิบัติว่าอย่าไปจับมันเข้า นี่อยู่ตลอดเวลา แม้ในขณะที่มีจิตว่างเป็นประภัสสรตามธรรมชาติ ไม่ได้จับฉวยอะไร สบายดีอยู่นี้ ก็ต้องมีหน้าที่ที่จะต้องระวังว่าอย่าไปเผลอ ไปจับฉวยอะไรเข้าว่าตัวกูว่าของกู

.

ทีนี้เราก็มองดูให้ดีว่าหน้าที่ของเรานั้นคืออย่างไร หน้าที่ของเราคืออย่าไปจับฉวยเข้า หรือว่าปล่อยๆๆ มือ มันยังไม่เกิดอะไร มันก็มีหน้าที่ที่จะไม่ไปจับฉวยเข้า แล้วเมื่อมันไม่ๆๆ เมื่อไม่ไปจับฉวยเข้า มันก็ไม่มีเรื่องที่จะต้องปล่อยสิ คือเราอย่าไปจับอะไรเข้าสิ มันก็ไม่มีเรื่องที่จะต้องปล่อยสิ่งนั้น


เพราะฉะนั้นไอ้การที่ไม่จับฉวยนั่นแหละ นั่นแหละคือปล่อยแหละ เราไปเรียกการไม่จับน่ะว่าๆ การปล่อย นี่คือภาษาที่ไม่ถูก มันภาษาคนแล้วพูดอะไรผิดๆ เสมอ ภาษาคน ภาษาชาวบ้าน ภาษาธรรมดานี่เรียกว่าภาษาคน พูดอะไรผิดๆ เสมอ


ถ้าพูดเป็นภาษาธรรมแท้ๆ มันถูก เป็นภาษาความจริง มันก็ไม่จับ ไม่ยึดไม่จับ มีสติอยู่เสมอแล้วมันก็ไม่ไปยึดไม่ไปจับ มันก็พอกันเท่านั้นเอง


เมื่อตาเห็นรูป เมื่อหูได้ฟังเสียงอะไรก็ตาม ในอายตนะ ๖ นั้น มีสติทันท่วงที มีสัมปชัญญะทันท่วงทีแล้วมันก็ไม่ไปจับฉวยเข้า คือ เห็นว่าเวทนานี้ก็สักว่าเวทนาตามธรรมชาติ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่เสมอ 


พอเวทนาเกิดขึ้นจริง สติมันก็มาทันจริงเหมือนกัน เพราะไอ้นั่นน่ะคือไอ้ที่เราพิจารณาอยู่เสมอว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นธรรมชาติตามธรรมดาของโลก ไม่ใช่ตัวตนที่จะจับฉวยเอาได้ มันก็ไม่อยาก คือ ไม่เกิดตัณหา ก็ไม่มีอุปาทาน ไม่มีภพ ไม่มีชาติในขณะนั้น ฉะนั้นเรื่องมันก็สิ้นสุดลง คือไม่ได้ไปจับเข้า มันก็เฉยไปในส่วนๆนั้น ในส่วนที่จะเกิดตัวกูของกูน่ะคือไม่เกิด


ตัวอย่างที่มันๆๆๆ เร็ว หรือมันรุนแรง หรือมันเป็นไอ้เรื่องทางจิตวิทยาอยู่มาก ก็เช่นที่พูดให้ฟังมาบ้างแล้วว่า ความหิว ความกระหายอะไรเหล่านี้ ที่แท้มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องตัวกู


ไม่มีอาหารลงไปในท้อง ท้องมันก็กระวนกระวาย น้ำย่อยอาหารมันย่อยเอาพื้นท้อง รู้สึกแสบท้องคือรู้สึกหิวข้าวนั้น มันก็เท่านั้นเอง หาอะไรไปใส่ให้มัน มันก็หายหิว แต่ว่าไอ้คนมันก็ไม่คิดอย่างนั้น มันโกรธว่ากูหิวเสีย พอกูหิวแล้วโกรธ เท่ากับกูหิวแล้วก็เป็นอันว่าโกรธ กระสับกระส่าย ไม่มีใครเอาใจใส่เอามาให้กูกิน 


มันกลายเป็นกูหิว ไม่ใช่ธรรมชาติในกระเพาะอาหารมันทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามธรรมชาติ


แม้แต่กระหายน้ำก็ว่ากูกระหายน้ำ ไม่ใช่ว่าน้ำในร่างกายมันลดไปมากกว่าปกติมันก็รู้สึกอย่างนั้น ร่างกายมันรู้สึกอย่างนั้น แต่ทางจิตทางใจมันรู้สึกไปว่ากูหิว นี้มันเผลอจนจับฉวยเอามาเป็นปรกตินิสัยจนไม่รู้สึกว่าจับฉวย #มันจับฉวยจนเคยชินจนไม่รู้สึกว่าจับฉวย 


จับฉวยเอาเวทนานั้นมาเป็นกู กูหิว กูกระหาย กูอะไรก็ตาม ถ้าได้รับการฝึกฝนมาดี มันก็รู้ว่าหิวคืออย่างนั้น กระหายคืออย่างนั้น ไม่ต้องมีกูหิว ไม่ต้องมีกูกระหาย ด่าคนใช้ตัดเงินเดือนอะไรนี้ ทำไม่ทันบ้าง ทำไม่อร่อยบ้างอะไรบ้าง คนอื่นพลอยเดือดร้อน พลอยถูกไล่ ถูก ขนาดไล่ออกตัดเงินเดือนอะไรยุ่งกันไปหมด


นี่อยากจะให้เข้าใจคำสองคำนี้ให้มากเป็นพิเศษ ว่าที่ถูกนั้นคืออย่าจับเอา แต่เรามาพูดกันว่าจงปล่อยๆๆ แทนที่จะพูดว่าอย่า จงอย่าจับเอานี่คือจงปล่อย แล้วก็พูดกันเสียเกร่อไปหมดทั่วไปหมดว่าให้ปล่อยๆๆ แม้จนไม่รู้ว่าปล่อยอะไร นั่นภาษาคน


ทีนี้ภาษาธรรม ภาษาความจริง คือเรื่องจริงของมันก็คือไม่จับ ไม่จับนี่ คุณลองท่องไอ้คำว่าไม่จับ ไม่จับนี่แทนคำว่าปล่อยๆดูบ้างจะถูกต้องตามความจริงมากกว่า


พุทธทาสภิกขุ


ส่วนหนึ่งจาก อบรมพระที่หน้าโรงหนัง 

เรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ ปี 2512 ครั้งที่26 / อย่าจับแล้วไม่ต้องปล่อยตัวกูของกู