พระพุทธองค์ตรัสว่า
“การแผ่เมตตามีอานิสงส์
มากกว่าถวายข้าววันละ ๓๐๐ หม้อ”
เมตตาทำให้จิตสงบ
.
การแผ่เมตตาเพียงแค่ระยะเวลา
เท่าช่วงน้ำนมหยด
มีอานิสงส์มากกว่า
การถวายทานด้วยข้าวถึง ๓๐๐ หม้อเสียอีก
จึงควรเจริญเมตตาให้มาก ทำให้ยิ่ง
เข้าถึงเมตตาเจโตวิมุตติ
,
หลับก็เป็นสุข ตื่นมาก็เป็นสุข
ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นที่รักของอมนุษย์
หรือผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งหลาย
เทวดาจะคุ้มครองรักษา
ศาสตราอาวุธทำอันตรายไม่ได้
,
หน้าตาจะผ่องใส
สมาธิจะตั้งมั่นได้เร็ว
ไม่หลงทำกรรม ไม่หลงตาย
เมื่อตายแล้วก็จะไปสู่พรหมโลก
อานิสงส์ของเมตตามีมาก
ถ้าเรามีจิตเมตตา เราจะมีความสุข
.
.
เมื่อจิตของเรามีเมตตา
ใจของเราก็จะเย็น
แม้ว่าคนอื่นจะร้อนมากระทบ
จิตของเขาก็จะพลอยลดความร้อนลง
ใจที่ขัดเคืองมา โกรธขึ้นมา
เมื่อมาพบกับเราที่จิตใจเย็นด้วยเมตตา
เขาก็จะพลอยเย็นไปด้วย
ต่อๆไปใจของเขาก็จะเริ่มยอมรับ
,
,
เราก็ควรแนะนำให้คนอื่นเจริญเมตตา
เมื่อต่างคนต่างเมตตาให้กัน
บ้านนั้นจะร่มเย็นเป็นสุข
สิ่งที่เป็นมงคลจะเกิดขึ้นในชีวิต
.
.
การแผ่เมตตานั้น
ต้องแผ่กันเป็นประจำ
ตื่นขึ้นมานึกขึ้นได้ ก็ว่า
“ขอให้สัตว์ทั้งหลาย
จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด”
.
อยู่ที่ไหนพอนึกขึ้นได้ก็แผ่
แผ่บ่อยๆ จิตเราก็จะเกิดเมตตาจริงๆ
พอจิตมีเมตตาจริง
จิตจะอิ่มเอิบ เบิกบาน
หน้าตาก็จะผ่องใส
เมื่อใจอิ่มปากก็จะยิ้มด้วย
.
ในขณะที่จิตแผ่เมตตา
นึกถึงสัตว์ทั้งหลาย
“ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข”
แผ่ไปๆ ขณะที่แผ่เมตตานั้น เป็นสมถะ
ทำให้จิตสงบได้
แต่ในขณะที่แผ่ จิตก็กลับมารู้สภาวะในจิต
พบว่าจิตมีความอิ่มเอิบ มีปิติ
มีความปรารถนาดี
นี่คือ รู้สภาวะปรมัตถ์
เดี๋ยวก็แผ่เมตตาไป
เดี๋ยวก็มารู้สภาวปรมัตถ์
รู้สลับไปมาอย่างนี้ก็ได้
.
ผู้ที่เจริญเมตตาอยู่เนืองนิตย์
จะเกิดอานิสงส์อีกหลายประการ คือ
.
๑ หลับเป็นสุข หลับง่าย หลับสนิทดี
ไม่ใช่หลับๆ ตื่นๆ
.
๒ ตื่นเป็นสุข ตื่นมาก็แจ่มใส เบิกบาน
แม้ว่าจะใช้เวลาในการนอน
ไม่นานนักก็ตาม เพราะว่าหลับได้สนิท
.
๓ ไม่ฝันร้าย จิตที่สงบ แจ่มใส
มักจะไม่ค่อยฝัน
แต่คนที่ขาดเมตตา จิตจะฟุ้งซ่าน
ฝันมั่วไปหมด และยังฝันแต่เรื่องร้ายๆ
เพราะจิตที่คิดพยาบาทอาฆาตผู้อื่น
เวลาฝันจิตจะมีการคิดปรุงแต่ง
ทำให้สมองไม่ได้พักเต็มที่
ทำให้ร่างกายพลอยไม่สบายหรือไม่แข็งแรง
.
๔ เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
เมื่อจิตเรามีเมตตา
หน้าตาก็จะเบิกบานผ่องใส
ทำให้ใครเห็นใครก็รัก มีเมตตาต่อเรา
อยากจะช่วยเหลือเอื้อเฟื้อ อยากคุยด้วย
ไม่ใช่เห็นหน้าเราแล้ว ก็อยากเดินหนี
ไม่อยากมอง ไม่อยากพูดคุยด้วย
ไม่อยากเอื้อเฟื้อช่วยเหลือ
นั่นแสดงว่า เป็นคนที่ขาดเมตตา
.
๕ เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
เช่น พวกเทวดา หรือ ภูตผีปีศาจก็ดี
ซึ่งบางทีเราไปในสถานที่บางแห่ง
เขาก็อาจจะมาแกล้งหรือเบียดเบียนเรา
แต่ถ้าเราแผ่เมตตาให้เขา
เขารับได้ เขาก็จะมีจิตที่เมตตาต่อเรา
กลับมีจิตใจที่คิดจะอนุเคราะห์เราบ้าง
.
๖ เทวดารักษา สิ่งลี้ลับที่เรามองไม่เห็น
อย่างเทวดานี่มีนะ
เขาจะคุ้มครองรักษาคนดี
แล้วถ้าเราแผ่เมตตาให้เขา
และเรายังมีจิตใจที่ดี เขารู้
เทวดาก็สามารถช่วยให้เรา
เดินทางปลอดภัย
หรือคอยปัดเป่า พวกที่คิดร้ายกับเรา
ให้เราแคล้วคลาดได้
.
๗ ศาตราอาวุธ ไฟ ยาพิษ ทำอันตรายไม่ได้
.
๘ หน้าผ่องใส คนมีเมตตาหน้าตาจะผ่องใส
แววตาก็แจ่มใส ไม่เครียด
.
๙ สมาธิตั้งมั่นได้เร็ว
เพราะความสุขเป็นเหตุของสมาธิ
.
๑๐ ไม่หลงตาย เพราะขณะที่จะตาย
จิตไม่เศร้าหมอง
ถ้าจิตเศร้าหมองขณะจะตาย
ก็ต้องไปสู่อบายภูมิ คือ
ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต
อสุรกาย หรือสัตว์นรกได้
.
๑๑ ตายแล้วไปสู่สุคติ คือ
ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี
เช่น มนุษย์ เทวดา หรือพรหม
แต่การได้ไปเกิดเป็นพรหมนั้น
ผู้นั้นต้องได้ฌานด้วยนะ
เพราะการเจริญเมตตา
สามารถยังจิตให้ได้ฌานจิต
แต่ถ้าไม่ได้ฌานก็ไปเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา
......................................
#ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
#ท่านเจ้าคุณ #พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา