Recent Posts

อายตนะ 12 [หลวงพ่อสุรศักดิ์]


          หัวข้อเรื่องที่กำหนดไว้คือเรื่อง อายตนะ และขอให้ได้ฟังด้วยดี ฟังด้วยการมีโยนิโสมนสิการ คือการทำไว้ในใจโดยแยบคาย พร้อมด้วยการมีสติ คือ การระลึกรู้สึกตัวทั่วพร้อมในขณะที่ฟังธรรมอยู่ อายตนะเป็นวิปัสสนาภูมิอีกภูมิหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ การปฏิบัติ เจริญวิปัสสนา กรรมฐาน ให้กำหนดอายตนะเป็นอารมณ์ คือ เอาอายตนะเป็นกรรมฐาน คือ เป็นที่ตั้งของวิปัสสนา ของสติ เรียกว่า วิปัสสนาภูมิ


          คำว่า อายตนะ มีความหมายอย่างไร ท่านก็แสดงไว้ว่า ธรรมใดที่มีสภาพคล้ายกับยังผลของตนให้เกิดขึ้น ธรรมนั้นชื่อว่า อายตนะ คล้ายแต่ว่า ไม่ใช่จริง อายตนะ ภายใน มี 6 ภายนอกมี 6 อย่างตากับสีเป็นอายตนะคู่ที่ 1 กระทบกัน จักขุปสาทคือประสาทตา กับรูปารมณ์คือสีต่างๆ กระทบกัน แล้ว ก็ยังสภาพเห็นให้เกิดขึ้น สภาพเห็นนั้นเป็นผลเกิดขึ้น สีกับตากระทบกัน การเห็นก็เกิดขึ้น ฉะนั้นประสาทตากับสีซึ่งเป็นอายตนะ มีสภาพคล้ายกับ ยังผลของตนให้เกิดขึ้น ที่ใช้คำว่าคล้ายก็เพราะว่า ตากับสีนั้นที่จริงแล้ว มันก็ไม่ได้มีความขวนขวาย พยายามจะให้เกิดการเห็น แต่อย่างใด มันก็เป็นไปโดยธรรมชาติ เป็นอนัตตา ไม่ใช่มีตัวตน ไม่ใช่เป็นเรื่องของตามันขวนขวายจะให้เห็นก็หาไม่ แต่ว่าเมื่อสีกระทบตาแล้ว มันก็เกิดการเห็นขึ้น มีสภาพคล้ายๆ กับจะยังผลให้เกิดขึ้น ผลของตนให้เกิดขึ้นระหว่างตา ก็คือสภาพเห็น นั่นเป็นผลเกิดขึ้น ทางอื่นก็เหมือนกัน อายตนะภายในมี 6 เรียกว่า อัชฌัตติกายตนะ อายตนะภายนอก เรียกว่า พาหิรายตนะ ก็มี 6 เหมือนกัน



อายตนะภายในมี 6 นั้น คือ

  1.  จักขายตนะ ได้แก่ ประสาทตา เป็นธรรมชาติที่มีความใสในการที่จะรับสีต่างๆ
  2.  โสตายตนะ ก็คือโสตปสาท เป็นธรรมชาติที่มีความใสในการรับเสียงต่างๆ
  3.  ฆานายตนะได้แก่ ฆานปสาท เป็นความใส ในการรับกลิ่นต่างๆ
  4.  ชิวหายตนะ ได้แก่ ชิวหาปสาท เป็นความใสในการรับรสต่างๆ
  5.  กายายตนะ ได้แก่ กายปสาท เป็นความใสในการรับโผฏฐัพพารมณ์
  6.  มนายตนะ ได้แก่ เป็นตัวจิตทั้งหมด ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ จิตทั้งหมด จัดเป็นมนายตนะ
อายตนะภายนอกมี 6 คือ

  1. รูปายตนะ ได้แก่ สีต่างๆ เป็นธรรมชาติที่จะกระทบเฉพาะทางตา ไม่สามารถที่จะไปกระทบทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ได้
  2. สัททายตนะ ได้แก่ เสียงต่างๆ เป็นธรรมชาติกระทบเฉพาะทางหู
  3. คันธายตนะได้แก่ กลิ่นต่างๆ เป็นธรรมชาติกระทบเฉพาะทางจมูก
  4. รสายตนะ ได้แก่ รสต่างๆ เป็นธรรมชาติกระทบเฉพาะทางลิ้น
  5. โผฏฐัพพายตนะ ได้แก่ โผฏฐัพพารมณ์ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง เป็นธรรมชาติกระทบเฉพาะทางกาย
  6. ธัมมายตนะ ได้แก่ สภาพธรรมที่กระทบทางใจ องค์ธรรมปรมัตถ์ ก็คือ เจตสิก ทั้งหมด 52 ชนิด แล้วก็รูปละเอียด เรียกว่าสุขุมรูป 16 ตลอดทั้งนิพพาน เป็นธัมมายตนะ


          อายตนะภายในภายนอก จัดเป็นคู่กันกระทบกัน ในความหมายของคำว่าอายตนะอีกประการหนึ่ง ก็คือ กระทำซึ่งจิตและเจตสิกนั้น ให้กว้างขวางเจริญขึ้น หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่า เมื่ออายตนะภายในและภายนอกกระทบกันแล้ว ก็จะทำให้วิถีจิตเกิดขึ้น ในวิถีหนึ่ง ก็จะมีจิตเกิดขึ้นหลายชนิด จิตที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง วิบากบ้าง กิริยาบ้าง เกิดขึ้นหลายๆ ชนิด แล้ววิถีจิตนี้เกิดขึ้นวนเวียนหลายๆ รอบ ฉะนั้น จิตก็เกิดขึ้นมากมาย เมื่ออายตนะกระทบกัน เรียกว่าอายตนะนั้นเป็นธรรมชาติที่ยังให้จิตเจตสิกนั้นกว้างขวางเจริญขึ้น



          พูดถึงจิตแล้วก็ต้องรวมเจตสิกด้วย เพราะมันเกิดร่วมกัน อีกลักษณะหนึ่งก็คือว่า เมื่อวิถีจิตเกิดขึ้นวนเวียนหลายๆ รอบนั้น ในวิถีจิตหนึ่ง วิถีจิตหนึ่ง ก็เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ฉะนั้น กุศล อกุศล เมื่อวิถีจิตเกิดขึ้นบ่อยๆ มากขึ้น มันก็จะมีกำลังมากขึ้น สำเร็จเป็นสุจริต ทุจริตต่างๆ ได้ เป็นกายสุจริต-ทุจริต วจีสุจริต-ทุจริต มโนสุจริต-ทุจริต เรียกว่าอายตนะนั้นทำให้กุศล อกุศล กว้างขวางเจริญขึ้น นี่คือลักษณะ ความหมายของ อายตนะ

          มีคำว่า วิถีจิต เข้ามาด้วย คำว่า วิถีจิต ก็คือ จิตที่มันเกิดขึ้นมารับอารมณ์ ต่อเนื่องกันไป คือเป็นขบวนการของมัน ที่เกิดขึ้นมารับอารมณ์ ต่อเนื่องกันไป คือเป็นขบวนการของมันที่เกิดขึ้นมารับอารมณ์ๆ ๆ ทำหน้าที่ต่างๆ กัน จนจบขบวนการของมันแล้ว ก็ลงสู่ภวังค์ไป อันนี้ถ้ามีโอกาส ก็จะมาพูดโดยเฉพาะเรื่องวิถีจิตให้แจ่มแจ้งภายหลัง

ตอนนี้มาพิจารณาเรื่องอายตนะเป็นคู่ๆ กันดู

          อายตนะภายในคู่ที่ 1 ก็คือประสาทตา อายตนะภายนอกก็คือ รูปารมณ์ คือสีต่างๆ มากระทบกัน ทำให้เกิดการเห็นขึ้น เกิดสภาพเห็นขึ้น อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม ประสาทตาเป็นรูป สีที่กระทบตาก็เป็นรูป สภาพเห็นเป็นนาม

          ในทางการปฏิบัติ ก็ให้เจริญสติระลึกรู้รูปนาม รู้รูปนามทางตา ก็กำหนดที่สภาพเห็น สภาพเห็นเป็นอย่างไร มันเป็นธรรมชาติที่ฉายออกไป ทางตา ไปรับสีต่างๆ เห็น ก็จะเห็นสี เห็นรูป ให้เจริญสติเข้าไปรู้ สีเป็นรูป เห็นเป็นนาม แต่ถ้าหากรู้เลยไปว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็นคนเป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ มีชื่อ มีความหมายต่างๆ นั่นเป็นสมมุติบัญญัติ เป็นบัญญัติอารมณ์ ไม่ใช่ปรมัตถ์อารมณ์ เจริญวิปัสสนาท่านให้กำหนดที่ปรมัตถ์ ฉะนั้น ก็พยายามกำหนดที่ สภาพเห็น หรือสีที่กระทบทางตา สีเป็นรูป เห็นเป็นนาม คือไม่พยายามที่จะนึกคิดออกไปว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นอะไร เป็นคน เป็นสิ่งของอะไร อย่างนั้น มันไปสู่สมมุติ ให้พยายามกำหนดถึงสภาพเห็น แต่ในความเป็นจริง มันไม่สามารถจะยับยั้งให้อยู่เพียงแค่เห็นเท่านั้น เพราะมันไว วิถีจิตมันเกิด นึกคิด ถึงสิ่งที่เห็นนั้น ว่าเป็นใคร เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ มีชื่อ มีความหมายอย่างไร เมื่อเกิดรับรู้เป็นสมมุติบัญญัติอย่างนี้แล้ว ในทางการปฏิบัติ ก็ให้กำหนดที่นามธรรม คือจิตทางมโนทวาร คือตัวที่ไปรู้เรื่องราวต่างๆ ไม่ใช่สภาพเห็น เป็นสภาพคิดนึก

          ฉะนั้น ในขณะที่เกิดการเห็น แล้วก็คิดนึกไปถึงสิ่งที่เห็นทางตา ว่าเป็นอะไรต่างๆ ก็ให้กำหนดรู้ที่ใจ ซึ่งเป็นมนายตนะ ทีนี้ถ้าหากว่า มันเลยไปถึง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่ใจ เป็นความรู้สึกพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง โกรธบ้าง กลัวบ้าง เกิดความรัก เกิดความชัง ก็ให้กำหนดรู้อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น เช่นมันเกิดความโกรธ ก็ให้สังเกตลักษณะของความโกรธ เกิดความชอบใจก็สังเกตความชอบใจ อันนี้เป็นธัมมายตนะ ความชอบใจ ไม่ชอบใจ เป็นธัมมายตนะ เป็นสิ่งที่มากระทบทางใจ คือตัวเจตสิก ความโกรธก็เป็นเจตสิก ความโลภก็เป็นเจตสิก ความหลงก็เป็นเจตสิก เป็นธัมมายตนะ ก็กำหนดรู้ไป ฉะนั้นรู้ทางตา ก็คือกำหนดสภาพเห็น ในขณะหนึ่งผ่านไป จิตไปรู้ถึงสมมุติบัญญัติ กำหนดมาที่จิตใจ ซึ่งเป็นมนายตนะ คือความรู้สึก นึกคิด แล้วในกระแสจิตมีความพอใจ ไม่พอใจต่างๆ ก็กำหนดรู้ ก็เป็นการกำหนดธัมมายตนะ

          อายตนะคู่ที่ 2 นั้น ภายในก็ได้แก่ โสตายตนะ คือประสาทหู สิ่งที่มากระทบก็คือ อายตนะภายนอก ก็คือ สัททายตนะ คือเสียงต่างๆ เสียงมา กระทบประสาทหู ซึ่งก็เป็นรูปธรรมด้วยกัน เสียงก็เป็นรูป ประสาทหุก็เป็นรูป กระทบกันก็เป็นเหตุให้เกิดสภาพได้ยินขึ้น สภาพได้ยินเป็นนามธรรม เสียงเป็นรูป ประสาทหูเป็นรูป ได้ยินเป็นนาม มนายตนะนี่เป็นนาม

          ในทางการปฏิบัติ ให้เจริญสติระลึกรู้สภาพได้ยิน ได้ยินเสียง ได้ยินก็อย่างหนึ่ง เสียงก็อย่างหนึ่ง แต่ว่าก็ควรจะกำหนดมาทางสภาพได้ยิน เพราะว่ามันจะทำให้ ไม่เลยไปสู่สมมุติบัญญัติได้ง่าย ถ้าเรามุ่งไปที่เสียง มันมักไปสู่สมมุติบัญญัติ กำหนดเสียง นั่นเสียงรถ เสียงเรือ เสียงสุนัข มีความหมายอย่างนั้นๆ มันเป็นไปกับสมมุติบัญญัติได้ง่าย ถ้ากำหนดสภาพได้ยินๆ คือสภาพได้ยิน เป็นลักษณะที่ฉายออกไปทางหู ไปรับเสียง เป็นตัวได้ยิน ได้ยินอะไร ได้ยินเสียง เสียงเป็นอารมณ์ ได้ยินเป็นตัวจิต เป็นมนายตนะ กำหนดสภาพได้ยินๆ ก็จะสังเกตว่ามีความเกิดดับ เสียงมันก็คือ รูปที่ดังสูงๆ ต่ำๆ ไม่ใช่เป็นคน เป็นสัตว์อะไร ได้ยินก็ได้ยินเพียงเสียงสูงๆ ต่ำๆ ก็กำหนดดูจะเห็นว่า สภาพได้ยินนั้นมันหมด ได้ยินแล้วหมดๆ หมดความรู้สึกของสภาพได้ยิน แต่ขณะๆ ขณะนี้ฟังอยู่ สังเกตดูจะเห็นว่า สภาพได้ยินนั้นมีความเกิดดับๆ ๆ อยู่เป็น ปรมัตถธรรม เมื่อได้ยินแล้ว จิตคิดนึกไปถึงเสียงที่ได้ยินว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ เป็นเสียงสุนัข แมว เสียงคน ชื่อนั้น ชื่อนี้ นั่นก็คือเป็นบัญญัติอารมณ์ ก็ไม่ไปดู

          การปฏิบัติก็ไม่ไปพิจารณาที่เรื่องราว คือ ความเป็นคน เป็นสัตว์ แต่ให้พิจารณามาที่ มนายตนะ คือตัวที่ไปรู้เรื่องราว ความเป็นคนเป็นสัตว์ ความคิดนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตัวที่คิดถึงเรื่องราวเป็นมนายตนะ คือเป็นจิต เป็นนามธรรม สติก็รุ้มาที่มนายตนะ คือตัวความคิดนึก ตัวที่ไปคิดถึง เรื่องเป็นคนเป็นสัตว์ ตัวเรื่องราวที่เป็นคนสัตว์นั้นเป็นอารมณ์ เป็นบัญญัติอารมณ์ เป็นสมมุติ แต่ตัวที่ไปรับรู้เรื่องราวเป็นปรมัตถ์ เป็นจิต

          เจริญวิปัสสนาต้องกำหนดที่ปรมัตถ์ กำหนดมาที่จิตขณะนั้น ก็เห็นว่าจิตนั้นทำหน้าที่คิดนึกๆ คิดๆ ไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอสติกำหนดความคิดนึก เรื่องต่างๆ ก็ขาดลงเหมือนหนังที่ขาดตอน ฉะนั้นใครที่คิดไป ชอบคิดไปที่เรื่องราวต่างๆ ให้กำหนดความคิด พอกำหนดความคิด เรื่องที่คิดมันจะหยุดลง เดี๋ยวมันก็ไปอีก เพราะสติที่ระลึกรู้ ก็ระลึกรู้ได้ชั่วขณะนิดเดียว แล้วก็ดับลง กำลังของอารมณ์เหล่านั้น ยังมีกำลังอยู่ ก็ดึงเอาจิตไปคิดใหม่ สติก็รู้ใหม่ รู้ความคิดใหม่ รู้ใหม่ รู้ใหม่ แต่ต้องระวังว่า รู้แบบปกติ คืออย่าบังคับ อย่าบังคับว่าหยุดคิดนะ อย่าคิดนะ บังคับไม่ให้คิด อย่างนี้ก็ไม่ถูก จะทำให้เคร่งเครียด ทำให้เกิดความวุ่นวายใจ เพราะความคิดก็เป็นอนัตตา ความคิดก็เป็นของไม่เที่ยง มันก็แสดงตัวเอง ประกาศตัวเอง ถ้าจิตมันพูดได้ ก็จะบอกว่า ฉันไม่เที่ยงนะ ฉันบังคับบัญชาไม่ได้นะ แต่เราก็จะไปบังคับมันท่าเดียว เขาก็ประกาศตัวให้เห็นอยู่แล้วว่าไม่เที่ยง บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ว่าไม่ยอมรับ สติปัญญาไม่ยอมรับ มันก็เลยจะไปบังคับให้มันหยุดคิด หนักเข้ามันก็เลยเกิดดับ แค้นโทษว่าไม่สมปรารถนา

          แต่ถ้ายอมรับ สิ่งใดไม่เที่ยง มันก็ต้องไม่เที่ยง มีหน้าที่กำหนดรู้ ไม่มีหน้าที่ไปจัดแจง ให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ในการปฏิบัติ มันจะคิด หรือ หยุดคิด ก็กำหนดรู้มันไป ฉะนั้นเมื่อได้ยินเสียง กำหนดสภาพได้ยิน ไม่พยายามจะไปนึกถึงเรื่องราวของเสียงเหล่านั้น แต่เมื่อจิตมันรู้เลยไปสู่เรื่องราว ก็ให้กำหนดที่จิต แล้วมันเลยไปถึงความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจเสียงนั้น เช่น นั่งกรรมฐาน เสียงสุนัขกัดกัน กำหนดสภาพได้ยินไม่ทัน จิตมันไปคิดว่า เสียงนั้นเป็นเสียงสุนัข แล้วเกิดความไม่พอใจ พอมันเลยไปถึงความไม่พอใจ สติกำหนดความไม่พอใจ ความไม่พอใจก็เป็นธัมมายตนะ เป็นตัวเจตสิก ที่ปรุงแต่งจิตอยู่ ที่กระทบทางใจ เราก็กำหนดสภาพไม่พอใจนั้น

          คู่ที่ 3 ก็เหมือนกัน ลักษณะเดียวกัน อายตนะภายในก็คือ ฆานายตนะ ได้แก่ประสาทจมูก สิ่งที่มากระทบ (อายตนะภายนอก) ก็คือคันธายตนะ ได้แก่ กลิ่นต่างๆ กลิ่นก็เป็นรูป ประสาทจมูกก็เป็นรูป กระทบกันแล้ว ก็เป็นเหตุให้เกิดการรู้กลิ่นขึ้น ตัวรู้กลิ่นนี้เป็น มนายตนะ เป็นจิต แต่เป็นจิตที่เกิดที่จมูก ทำหน้าที่ รู้กลิ่น กลิ่นก็อย่างหนึ่ง รู้กลิ่นก็อย่างหนึ่ง กลิ่นนั้นเป็นรูป รู้กลิ่นเป็นนาม สติก็ระลึกรู้ พอรู้กลิ่น ก็ระลึกรู้สภาพ รู้กลิ่น เกิดการรับรู้ทางจมูก ขึ้นมา เช่นเรากินข้าว กลิ่นกระทบจมูกก็รู้ มันก็จะมีกลิ่นต่างๆ แต่ถ้ามันเลยไปสู่สมมุติบัญญัติ ก็จะรู้ว่ามีกลิ่นอะไร กลิ่นกับข้าวอะไรนึกไป ถ้านึกไปถึง ความหมายเป็นสมมุติบัญญัติแล้ว ในขณะที่ไปสู่สมมุติบัญญัติ ขณะนั้นไม่ใช่รู้กลิ่นแล้ว เป็นจิตทางใจ เป็นมนายตนะ คือทำหน้าที่คิดนึกไปสู่ สมมุติบัญญัติ อารมณ์เป็นบัญญัตินั้นเป็นจิต สติก็รู้มาที่จิต กำหนดมาที่ตัวที่ไปรู้ความหมาย และถ้ามันเลยไปถึงความชอบใจไม่ชอบใจ ถ้ากลิ่นมัน หอมดี ก็ชอบใจ ถ้ากลิ่นมันเหม็นไม่ชอบใจ ก็กำหนดความชอบใจไม่ชอบใจ ซึ่งเป็นธัมมายตนะ การกำหนดรู้ ก็จะทำให้เกิดความเป็นปกติขึ้น หรือทำให้เห็นธรรมชาติว่า ธรรมเหล่านี้เป็นแต่ธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล กลิ่นก็เป็นธรรมชาติ รู้กลิ่นก็เป็นธรรมชาติ คิดนึกไปถึงเรื่องของกลิ่น ก็เป็นธรรมชาติ พอใจก็เป็นธรรมชาติ ไม่พอใจก็เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ดับไปตามเหตุตามปัจจัย มีลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มันก็เห็นลักษณะของมัน กลิ่นมันดับ รู้กลิ่นมันก็ดับ ตัวที่เข้าไปรู้เรื่องราวก็ดับ พอใจก็ดับ ไม่พอใจก็ดับ เพราะเหตุมันดับ การเห็นความเกิดดับมันก็ทำให้เกิดปัญญาว่าไม่เที่ยง บังคับไม่ได้ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้

          คู่ต่อไป คู่ที่ 4 อายตนะภายในก็คือ ชิวหายตนะ ได้แก่ ประสาทลิ้น ภายนอกก็คือ รสายตนะ ได้แก่รสต่างๆเป็นรูปธรรมทั้งคู่ กระทบกันก็ทำให้เกิดการรู้รสขึ้น สภาพรู้รสนั้น เป็นมนายตนะ เป็นจิตที่เกิดขึ้นที่ลิ้น ทำหน้าที่รู้รส รสก็อย่างหนึ่ง รู้รสก็อย่างหนึ่ง รสนั้น เป็นรูป รู้รสนี้เป็นนาม รสก็เป็นรสต่างๆ ไม่รู้ว่าเป็นรสอะไร ปรมัตถธรรมแค่รสต่างๆ ไม่รู้ว่าเป็นรสแกงนั้นแกงนี้ รสขนม รสอะไรต่างๆ แค่รู้รสเท่านั้น นั่นคือปรมัตถ์ ก็ทำสติระลึกรู้ เวลากินข้าวรสกระทบลิ้น ระลึกรู้สภาพรสรู้รส แต่พอมันเลยไปสู่สมมุติบัญญัติรู้ว่ารสนี้เป็น รสไก่บ้าง รสน้ำปลา รสหวาน เราก็รู้มารู้ที่ใจ คือ มนายตนะ ตัวจิตที่เกิดที่ใจที่ไปคิดนึกให้รู้ว่าเป็นสมมุติบัญญัติต่างๆ แล้วถ้ามันเลยไปสู่ว่าพอใจไม่พอใจรสอันนี้ชอบดี ก็กำหนดรความพอใจ อันไหนไม่ชอบก็กำหนดรู้ความไม่ชอบใจ ซึ่งเป็นธัมมายตนะเกิดขึ้น

          ต่อไป คู่ที่ 5 ภายในก็คือ กายายตนะ ได้แก่ ประสาทกาย ภายนอกก็คือ โผฏฐัพพายตนะ เครื่องกระทบทางกาย มี ปฐวีโผฏฐัพพารมณ์ เตโชโผฏฐัพพารมณ์ วาโยโผฏฐัพพารมณ์ คือ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุดินก็ลักษณะแค่นแข็ง แข็งน้อยก็เป็นความอ่อน ธาตุไฟก็มีลักษณะเป็น ความร้อน ความร้อนน้อย ก็คือความเย็น ธาตุลม ลักษณะเคร่ง ตึง ตึงน้อยก็คือความหย่อน ฉะนั้นสิ่งที่มากระทบทางกาย ก็จะมีความเย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง หย่อนบ้าง ตึงบ้าง กระทบกับกายปสาทซึ่งเป็นรูปธรรม เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา นั่งอยู่ เย็นมากระทบที่แขน ที่ขา ลำตัว ใบหน้า ก็กำหนดรู้ มีความตึง หายใจเข้า หายใจออก หน้าอกหน้าท้องมันตึง หายใจเข้ามันตึง เวลาหายใจออกมันก็หย่อนตัวลง ก็กำหนดรู้ ก้น ขากระทบพื้น รู้สึกแค่นแข็ง ก็กำหนดรู้ มือไปกระทบผ้า รู้สึกว่ามันอ่อน กำหนดรู้ หรือว่ามันรู้สึกตึง กำหนดไป บางทีเคร่งไป จดจ้องบังคับไป เกิดความตึง ตึงที่ศีรษะ ตึงที่หน้าผาก หัวคิ้ว ก็กำหนดความตึง เมื่อรู้สึกตึงกำหนดความตึง กำหนดแบบปกติ คือกำหนดแบบไม่บังคับ กำหนดแบบ ตามสภาวะ มันก็จะคลายตัวเป็นปกติ

          ฉะนั้นเย็นก็ตาม ร้อนก็ตาม อ่อนก็ตาม แข็งก็ตาม หย่อนก็ตาม ตึงก็ตาม เป็นรูปนาม เมื่อกระทบกับกายปสาท ก็เกิดความรู้สึกขึ้น เป็น กายวิญญาณ คือให้รู้สึกเย็น รู้สึกร้อน รู้สึกอ่อน รู้สึกอ่อน รู้สึกแข็ง รู้สึกหย่อน รู้สึกตึง ก็เป็นมนายตนะที่เกิดขึ้นที่กาย ก็กำหนดรู้ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวรู้สึก ตัวที่เข้าไปรับรู้ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง เป็นนาม เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง เป็นรูป ตัวที่เข้าไปรับรู้ เป็นนาม เมื่อกำหนดไม่ทัน ก็ไปสู่บัญญัติ คิดไปว่าเย็นนี้มันเป็นลม มาจากพัดลม ร้อนนี่มันมาจากไฟ มาจากแดด แข็งนี่มันเป็นพื้น อย่างพื้นนี่ มันเป็น พื้นหินอ่อน เห็นหน้าตา นึกถึงชื่อ ถึงความหมาย นั่นเป็นสมมุติบัญญัติ แต่ในขณะจิตไปนึกถึงสมมุติบัญญัตินั้น ก็เป็นของจริง คือตัวที่ไปรู้ สมมุติบัญญัติ เป็นของจริง คือเป็นจิตที่เกิดที่ใจ เป็นมนายตนะทางใจ สติก็รู้มาที่จิตใจ คือรู้มาที่ตัวไปรู้เรื่องราวต่างๆ อย่างเรารับสัมผัสอะไร มาทางกาย เราจะคิดเรื่อยไปเป็นสิ่งของ เป็นชื่อ เป็นความหมาย เป็นเรื่องราว ก็รู้มาที่ใจ แล้วถ้ามันเลยไปถึงความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ ก็กำหนดรู้ ความพอใจ ไม่พอใจ ซึ่งเป็นธัมมายตนะ

          คู่ที่ 6 ก็คือ มนายตนะ กับ ธัมมายตนะ กระทบกันก็ทำให้เกิดรู้เรื่องราวต่างๆ ขึ้น ก็กำหนดรู้จิตใจที่นึกคิด ตัวธัมมายตนะที่กระทบที่ใจ คือ เจตสิกต่างๆ รวมทั้งรูปละเอียด คือสุขุมรูป ส่วนนิพพานนั้น ยังไม่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นเมื่อไร ก็เป็นอันว่า เข้าสู่ความเป็นอริยบุคคล นิพพานก็เป็น ธัมมายตนะ มากระทบที่ใจ สามารถที่จะไปสัมผัสรู้ได้ เมื่อเจริญวิปัสสนา มีญาณปัญญาแก่กล้า ไปถึงโลกุตตรญาณ ก็จะไปรับนิพพานเป็นอารมณ์ กิเลสที่มีอยู่ในจิตใจ ก็จะถูกประหานให้น้อยลง เบาบางลง ฉะนั้นขณะที่เจริญสติ กำหนดรู้รูปนามอยู่เสมอนี้ มันก็จะบรรเทากิเลสไปได้ แต่ถ้า ญาณปัญญาเกิดขึ้น จะละกิเลสเป็นขณะ เรียกว่า ตทังคปหาน และเมื่อมรรคจิตเกิดขึ้น จึงจะละโดยเด็ดขาดเป็น สมุจเฉทปหาน

          อันนี้เป็นเรื่องชีวิต เป็นเรื่องของธาตุแท้ที่มีอยู่จริงๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเรื่องซึ่งพิสูจน์ได้ เป็นของจริงที่น่าศึกษาน่าเรียนรู้ มันไม่มีอะไร ที่น่าศึกษา เท่ากับของจริงๆ คือเรารู้ของจริง มันก็จะทำให้เราสามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ ถ้าเราไม่ศึกษาไม่เรียนรู้ มัน ไปเข้าใจ ไปรู้แต่สมมุติบัญญัติ สมมุติบัญญัติ มันก่อให้เกิดความโลภ โกรธ หลง แต่ถ้าเข้าใจชีวิตจริง ให้รู้จักว่า อ้อ ปรมัตถธรรมจริงๆ เป็นอย่างนี้ สมมุติบัญญัติ มันเข้ามาสวม เป็นอย่างนี้ แต่เราก็ต้องทำไปตามสมมุติบัญญัติ ต้องเรียกชื่อไปตามชาวโลกเขาเรียก ปฏิบัติไปตามสมมุติบัญญัติ แต่ว่ามันไม่ไปยึดถือ ทำไปตามนั้น อนุโลมไปตามนั้น แต่ไม่ได้ไปสำคัญมั่นหมายในสิ่งเหล่านั้น เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล จิตใจมันก็มีความเบาขึ้น เป็นอิสระ อันนี้ถ้าหากว่า ไม่รู้เท่าทัน มันยึดเป็นตัวเป็นตน ใครมากระทบไม่ได้ มากระทบก็หาว่าเขาด่าเรา ว่าเรา เขาแกล้งเรา มันมีตัวเราเป็นตัวตนอยู่ เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยการปฏิบัติ เพื่อให้เห็นว่า มันไม่มีตัวตน มีธรรมชาติเป็นอายตนะ ซึ่งเป็นรูป เป็นนาม

          อายตนะทั้ง 12 นี้ ก็เป็นรูป 5 คู่ อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นรูปธรรมทั้งหมด ภายนอกคือ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นรูปธรรม

          ส่วนคู่ที่ 6 ภายในได้แก่ มนายตนะ เป็นนามทั้งหมด ส่วนอายตนะภายนอก ธัมมายตนะนั้นเป็นรูปก็มี นามก็มี เจตสิกนั้นเป็นนาม สุขุมรูปเป็นรูปธรรม ส่วนนิพพานเป็นนามธรรม

          อันนี้ก็เป็นการแสดงอารมณ์ ของวิปัสสนาอีกแบบ อีกมุมหนี่ง เพื่อเกื้อกูลต่อปัญญาของผู้ฟัง ฟังเรื่องนี้บางคนอาจจะเข้าใจได้ดีขึ้น นำไป ประพฤติปฏิบัติ ได้ดีขึ้น จึงมีการแสดงไปหลายๆ ภูมิ วันนี้ก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ที่สุดนี้ขอความสุข ความเจริญในธรรม จงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติธรรมทุกท่านทุกคน เทอญ