การรักษาความเป็นปรกติ
รักษาความถูกต้องเป็นปรกติ เป็นกลาง
ความพอดีความสม่ำเสมอกัน
ของธรรมชาติที่เข้าไปรับรู้รับทราบ
มีความสม่ำเสมอมีความกลมกลืนกัน
เพราะฉะนั้นธรรมชาติที่เข้าไปรู้รับทราบ
ที่จะกลมกลืนกันนี่
มันจะต้องมีความนุ่มนวลละเอียดอ่อน
มีความสัมผัสสัมพันธ์
กันอย่างกลมกลืนสละสลวย
หมายถึงว่าการเข้าไปรับรู้นี่
ไม่ใช่เข้าไปกดเอาไปบังคับเอาไปเคี่ยวเข็นเอา
ไปยันไว้ ไปเบรคไว้ ไปกดไว้ควบคุมไว้
ไม่ใช่อย่างนั้น อย่างนั้นมันจะไม่กลมกลืนกัน
มันจะไม่ละเอียดอ่อน
มันจะมีแต่เกร็งมีแต่ตึง มีแต่เคร่งเครียด
ถ้าปรับให้มันมีความสม่ำเสมอสมดุลกัน
ทุกอย่างจะนุ่มนวลละเอียดอ่อน
มีความเบาสละสลวยทั้งในกายในจิต
รับรู้รับทราบสภาวธรรมต่าง ๆ
ได้อย่างละเอียดแล้ว
ก็กลมกลืนสัมผัสสัมพันธ์กันไป
นั่นก็คือว่าจะต้องไม่มีการบังคับ
เมื่อผู้ปฏิบัติฝึกมามาก มากขึ้น
จะต้องไม่มีการบังคับจิต
เช่น ดึงจิตมาตรงนี้
จิตจะย้ายไปตรงนั้นก็บังคับไว้ตรงนี้
อย่างนี้ถือว่าบังคับ ปฏิบัติมาก ๆ แล้ว
จะไม่บังคับ จิตจะเคลื่อนย้ายอย่างไร
ก็ปล่อยเขา เขาจะมีกระแสเคลื่อนย้าย
บางทีมันรู้กายส่วนล่าง
บางทีมันรู้กายส่วนท่ามกลาง
บางทีมันก็รู้กายส่วนบน
ขณะที่รู้กายส่วนบนระลึกตรงกาย
ส่วนบนมันแป๊บไปส่วนล่าง
แป๊บไปตรงนั้น แป๊บไปตรงนี้
ก็ปล่อยไม่มีการฝืนแต่ระลึก
ตามระลึก ตามรู้ตามดู
รู้สึกทางกายบ้าง รู้สึกที่จิตใจบ้าง
รู้ตัวของตัวมันเอง
รู้ที่จิตใจก็คือรู้ตัวของตัวมันเอง
ตัวของจิตใจที่มันมีกระแสไหลไปต่าง ๆ
ก็รู้สึกรับรู้ของมันด้วย
แล้วก็คอยสังเกตที่จะปรับให้มันเป็นปรกติ
คือการไม่ฝืนไม่ยัน ไม่บังคับไม่กดข่มมันไว้
เมื่อทำได้อย่างนี้แล้วเรียกว่าจะเข้าถึงวิปัสสนา
คือสติสัมปชัญญะจะเกิดขึ้น
รับรู้รับทราบต่อสภาวะ
ที่เรียกว่ารูปธรรมนามธรรม
ปรากฏต่าง ๆ จะพบรูปต่าง ๆ นามต่าง ๆ
ที่เปลี่ยนแปลงเกิดดับมากมายรวดเร็ว
ทั้งที่กายทั้งที่จิตใจ
เห็นแต่สิ่งที่ปรากฏหมดไปสิ้นไปอยู่มากมาย
ก็จะรู้สึกไม่เที่ยงๆ บังคับไม่ได้อยู่ตลอด
แล้วแต่ความรู้สึก
บางขณะรู้สึกในแง่ของความไม่เที่ยง
บางขณะก็รู้สึกในแง่ของความเป็นทุกข์
คือต้องดับไป ต้องดับไป
บางขณะก็ไปรู้ในแง่ของบังคับไม่ได้
เรียกว่าอยู่ในเรื่องของไตรลักษณ์
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อย่างนี้ถึงเรียกว่าเป็นวิปัสสนา
............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)